เมื่อเร็วเร็วนี้ ศาลแขวงระยอง ได้มีคำพิพากษาคดีแพ่งคดีหนึ่ง ซึ่งอาจถือได้ว่า เป็นคดี “อาชญากรรมเทคโนโลยี” ด้วย ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงในสังคมไทย มีประชาชนคนไทยถูกหลอกจากมิจฉาชีพต้องสูญเสียเงินทองและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
โดยคดีนี้เป็นกรณี “ ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง”
ฟ้อง “ ประชาชน” (ผู้ถือบัตรเครดิต)
เนื่องจาก
ประชาชน ถูกมิจฉาชีพหลอก และแอบ hack ข้อมูลบัตรเครดิต โดยมิจฉาชีพ หลอกแสดงตนเป็น
“เจ้าหน้าที่ที่ดิน” แจ้งว่า “จะต้องชำระภาษี ในวันสุดท้าย” และให้ผู้เสียหาย เพิ่มเพื่อนในไลน์
จากนั้น ได้ “ หลอกให้ผู้เสียหายกดลิงก์
Link ” และ
“Download app” และ “ ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว” สุดท้ายปรากฏว่า ผู้เสียหายต้องเป็นหนี้บัตรเครดิต
โดยมิจฉาชีพนำข้อมูลบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปทำการเบิกถอนเงินสด และต่อมา ธนาคารพาณิชย์ฟ้องผู้เสียหายเป็น “ หนี้บัตรเครดิต”
ทั้งที่ ผู้เสียหายมิได้เป็นผู้ทำรายการเบิกถอนเงินสด
สุดท้าย ศาลพิพากษา
“ยกฟ้อง” ผู้เสียหาย ด้วยเหตุผลว่า
“ การใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ของโจทก์
(ธนาคารพาณิชย์) ขัดต่อ มาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค
พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งบัญญัติว่า การใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี
ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริต โดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสม
ภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม ”
มาดูกันว่า เหตุใดศาลแขวงระยอง
จึงพิพากษา “ยกฟ้อง” ธนาคารพาณิชย์ ด้วยเหตุดังกล่าว ?
คดีนี้ โจทก์
(ธนาคารพาณิชย์) ฟ้อง จำเลย (ผู้เสียหาย) ว่า “ โจทก์ได้อนุมัติบัตรเครดิตหมายเลข....................................
ให้จำเลย เพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการตามเงื่อนไขที่โจทก์กำหนด
และจำเลยสามารถทำรายการ
ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านบริการแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้รหัสผ่าน
(PIN) รหัสแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) และรหัสประจำตัวเพื่อเข้าใช้บริการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
รวมทั้งเบิกถอนเงินสดออนไลน์เงินโอนเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งจำเลยสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ทุกสถานที่ตลอด
๒๔ ชั่วโมง โดยจำเลย (ผู้เสียหาย) ตกลงยินยอมทำธุรกรรม และ ให้ถือว่าการทำรายการธุรกรรมถูกต้องสมบูรณ์
และมีผลผูกพันจำเลย เมื่อร้านค้าหรือสถานประกอบการที่รับบัตรเครดิตส่งยอดรายการ
ซื้อสินค้าหรือบริการมาเรียกเก็บเงินโจทก์ โจทก์จึงได้ชำระแทนไปก่อน
โจทก์จะจัดส่งใบแจ้งยอด ค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากจำเลยทุกรอบบัญชีหรือทุกเดือน
ภายหลังจำเลยได้รับอนุมัติบัตรเครดิตจากโจทก์ จำเลยนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปชำระค่าสินค้าและบริการตลอดมา
แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่นำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้บัตรเครดิตให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามจำนวนและตามระยะเวลาที่โจทก์กำหนดในใบแจ้งยอดรายการใช้จ่ายบัตรเครดิต
โจทก์หักทอนบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่...... พฤศจิกายน ๒๕๖๖
จำเลยคงค้างชำระหนี้คิดเป็น ต้นเงิน ๓๕,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ย ๑,๙๘๓.๓๗ บาท ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ๑,๓๙๑ บาท รวมเป็นเงิน ๓๘,๓๗๔.๓๗ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๓๘,๙๔๒.๐๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ
๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์”
ส่วนจำเลย (ผู้เสียหาย) ต่อสู้คดีว่า
“
ที่โจทก์ ( ธนาคารพาณิชย์) อ้างว่า จำเลยค้างชำระหนี้บัตรเครดิต เป็นต้นเงิน
๓๕,๐๐๐ บาท นั้น ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นความจริง แต่เกิดจากการกระทำของมิจฉาชีพที่หลอกลวงจำเลยจนถูกมิจฉาชีพกดเงินสดออกไปจากบัตรเครดิต
ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยไม่ได้เป็นผู้ทำรายการเบิกถอนเงินสดดังกล่าว
เมื่อวันที่ ..........กรกฎาคม
๒๕๖๖ เวลา ............น. มีโทรศัพท์หมายเลข……………………โทรเข้ามาหาจำเลย ปลายสายแจ้งว่า
เป็น “เจ้าหน้าที่จากกรมที่ดิน” (มิจฉาชีพ) ติดต่อว่า “การจ่ายภาษีที่อยู่อาศัยวันนี้เป็นวันสุดท้าย
หากไม่ชำระจะมีค่าปรับ” แล้วสอบถามจำเลยว่า “ สะดวกไปชำระที่กรมที่ดินหรือไม่
หากไม่สะดวกสามารถชำระผ่านช่องทางออนไลน์ได้” ซึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียง กับวันที่เกิดเหตุ
จำเลยเคยไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดระยอง สาขาบ้านฉาง เพื่อทำนิติกรรม
ซื้อขายที่ดิน จึงทำให้จำเลยเชื่อว่า การติดต่อดังกล่าวเป็นการติดต่อจากเจ้าหน้าที่กรมที่ดินจริง
และจำเลยสามารถชำระโดยวิธีออนไลน์ได้ เพราะบุคคลดังกล่าวบอกเลขที่โฉนดที่ดินของจำเลยได้อย่างถูกต้อง
จำเลย จึงหลงเชื่อ และยอมเพิ่มเพื่อนทางแอพพลิเคชันไลน์ ( LINE
) ชื่อบัญชีผู้ติดต่อ "สำนักงานที่ดิน” ตามคำบอกของมิจฉาชีพ
จากนั้นจึงมีการสอบถามข้อมูลหมายเลขประจำตัวประชาชน
วันเดือนปีเกิดและหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลย จำเลยได้ขอดู “บัตรเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน”
ซึ่งมิจฉาชีพก็ส่งมาให้ดูทางช่องแชทไลน์ จากนั้น มิจฉาชีพส่งลิงก์เวบไซด์ให้จำเลยกดเพื่อดาวโหลดแอพพลิเคชันและให้กรอกข้อมูลส่วนตัวตามขั้นตอน
จนกระทั่งเมื่อถึงขั้นตอนให้จำเลยสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน
โทรศัพท์ของจำเลยขึ้นหน้าจอสีขาว จำเลยจึงฉุกคิดว่าอาจเป็นมิจฉาชีพและอาจถูกหลอกแล้ว
จึงรีบปิดโทรศัพท์
และติดต่อธนาคารและศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทันที
ต่อมาจำเลยตรวจพบว่าในช่วงเวลา
.......... น. บัตรเครดิตของจำเลยมีการทำรายการขอเพิ่มวงเงินและมีการเบิกถอนเงินสด
๒ ครั้ง ครั้งแรกเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท
ครั้งที่สองเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท
โดยจำเลยไม่ได้เป็นผู้ทำรายการดังกล่าว และเงินจำนวนนี้ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคาร.................ของจำเลยซึ่งเป็นบัญชีที่ผูกไว้กับบัตรเครดิตดังกล่าว
จนต่อมาเวลา .......... น. เงินจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท
ถูกโอนออกจากบัญชีของจำเลยไปยังบัญชีธนาคาร ..........ชื่อบัญชี...............ซึ่งจำเลยไม่รู้จักและไม่เคยทำธุรกรรมกับบุคคลดังกล่าวมาก่อน
และจำเลยไม่ได้เป็นผู้ทำรายการโอนเงินนั้น
นอกจากนี้ยังมีเงินอีก ๕,๗๐๐
บาท ในบัญชีธนาคาร...........ของจำเลยก็ถูกโอนเข้าไปบัญชีของนาย.......................ด้วย
ภายหลังเกิดเหตุ จำเลย ( ผู้เสียหาย) ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง
“ผู้ให้บริการบัตรเครดิต” เพื่อขอให้ช่วยเหลือกรณีถูกดูดเงินและขอให้ระงับการใช้บัตรเครดิต
ซึ่งเจ้าหน้าที่แนะนำให้จำเลยไป “ แจ้งความ” เพียงอย่างเดียว
ต่อมา จำเลยได้ไป แจ้งความต่อ “เจ้าพนักงานตำรวจ”
สถานีตำรวจภูธร.................... ทั้งจำเลยยังยื่น ร้องเรียนต่อหน่วยงาน
“ สภาองค์กรผู้บริโภค ” มูลหนี้บัตรเครดิตตามฟ้องจึงไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลย
หากแต่เกิดจากมีบุคคลอื่นนำ “ ข้อมูลบัตรเครดิต” ที่พิพาทของโจทก์ไปใช้ แสดงว่า
“ ระบบความปลอดภัยของแอพพลิเคชันของโจทก์ที่จัดให้มีบริการนั้นมีความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ”
และเมื่อจำเลยติดต่อไปยังโจทก์แล้ว เจ้าหน้าที่ของโจทก์ ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ คงแนะนำให้จำเลย (ผู้เสียหาย) ไป “ แจ้งความ” เท่านั้น
โดยไม่ได้ดำเนินการตาม “ แนวนโยบายการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
ฉบับลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๖”
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ศาล ยกฟ้อง
จาก “คำฟ้องของโจทก์”
และ “คำให้การต่อสู้คดี” ของจำเลย ดังกล่าว
คราวนี้มาดูว่า ศาลแขวงระยอง
วินิจฉัยอย่างไร ?
เห็นว่า...... เมื่อ
จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบในวันเกิดเหตุในทันที ที่จำเลยทราบถึงการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจนสามารถเข้าควบคุมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยจากระยะไกลแล้วสั่งโอนเงินจากบัญชีบัตรเครดิตของจำเลย
เข้าบัญชีธนาคารของจำเลยซึ่งผูกอยู่กับบัตรเครดิตดังกล่าว
แล้วโอนเงินออกไปจากบัญชีธนาคารของจำเลยไปยังบัญชีของ “บุคคลอื่น” ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า
“ จำเลยมิได้เป็นผู้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวด้วยตนเอง
” ดังนั้น จำเลย
จึงไม่ต้องรับผิดในภาระหนี้ที่เกิดขึ้นดังกล่าว
ทั้งพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏชัดว่า เมื่อโจทก์
(ธนาคาร) ได้รับแจ้งเหตุก็ไม่ได้เนินการอื่นใดนอกจากแจ้งให้จำเลยไปดำเนินการแจ้งความติดตามเรื่องด้วยตนเอง
ทั้งที่ โจทก์เป็น “ผู้ประกอบธุรกิจ” ให้บริการทางการเงิน และ เป็นเจ้าของเงินที่ถูกคนร้ายลักไป
โจทก์สามารถสร้างเครือข่ายร่วมกับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นเพื่อดำเนินการระงับยับยั้งหรืออายัดเงินที่ลูกค้า
ผู้ถือบัตรเครดิตแจ้งเหตุว่า ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงไว้ชั่วคราว เพื่อทำการตรวจสอบได้โดยง่าย
แต่กลับไม่รวมกลุ่มกันเพื่อดำเนินการยกระดับการป้องกันภัยทุจริตดังกล่าว
โดยปล่อยให้เป็นภาระของจำเลย (ผู้เสียหาย) ซึ่งเป็นผู้บริโภคขวนขวายติดตาม
ทั้งที่ “ แนวนโยบายการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย”
เอกสารหมาย ล.๒ ระบุในเอกสารแนบ ๑
การบริหารจัดการ ภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบัตร ข้อ ๓.๒
กำหนดชัดเจนว่า
"กรณีเหตุการณ์ทุจริต
ที่มีผู้ถือบัตรได้รับความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านบัตร
และมีเหตุอันเชื่อได้ว่าไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ผู้ให้บริการต้องเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ถือบัตรอย่างครบถ้วน"
เมื่อในขณะที่ มิจฉาชีพ สั่งโอนเงินออกจากบัญชีบัตรเครดิตของจำเลย
จำเลยย่อมไม่ทราบถึงการทำธุรกรรมของคนร้ายดังกล่าว ทั้ง จำเลย มิใช่ เป็นผู้ทำธุรกรรมการเงินดังกล่าว
ด้วยตนเอง ประกอบกับ “ เงินที่โอนออกไปนั้นเป็นของธนาคาร ไม่ใช่เงินของจำเลย”
( เว้นแต่ เงินจำนวน ๕,๗๐๐ บาทในบัญชีเงินฝากของจำเลย ซึ่งเป็นของจำเลย )
การที่โจทก์ (ธนาคาร) จะเอาสัญญาสำเร็จรูปมาอ้างว่า
“ ธุรกรรมการเงินที่เกิดขึ้นดังกล่าวถือเป็นการกระทำของจำเลยและจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวให้แก่โจทก์”
ย่อมเป็นการใช้สิทธิที่ขัดต่อ มาตรา ๑๒
แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งบัญญัติว่า
"การใช้สิทธิแห่งตนก็ดี
ในการชำระหนี้ก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสม
ภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม" อีกด้วย
จึงพิพากษา “ยกฟ้อง” ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จากคำพิพากษาของ “ศาลแขวงระยอง” ดังกล่าว
แม้จะยังไม่ถึงที่สุด และอาจจะยังใช้อ้างเป็นบรรทัดฐานในขณะนี้ไม่ได้
แต่ก็ทำให้ได้เราได้ “แนวทางคดี” ของในลักษณะเช่นนี้
ได้ว่า
๑. ผู้บริโภค
ควรรีบแจ้งให้ ธนาคาร หรือ ธนาคารบัตรเครดิต ทันที
๒. เมื่อ
ธนาคารบัตรเครดิต ทราบเรื่องจาก “ผู้บริโภค” แล้ว ธนาคารฯ ควรดำเนินการอื่นต่อเพื่อปกป้องไม่ให้เงินถูกถ่ายโอนไปยังบัญชีอื่น
ๆ ไม่ใช่ แค่เพียงแจ้งให้ผู้บริโภคไป “ แจ้งความ”
กับตำรวจ เท่านั้น
๓.
เงินที่ถูกโจรกรรม ( เฉพาะที่เบิกถอนเงินจากบัตรเครดิต)
เป็นเงินของธนาคาร ไม่ใช่ ผู้เงินของผู้บริโภคฯ
๔. ธนาคารบัตรเครดิตฯ
เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการทางการเงินและเป็นเจ้าของเงินที่ถูกคนร้ายโจรกรรมไป
สามารถสร้างเครือข่ายร่วมกับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น
เพื่อระงับหรือายัดเงินดังกล่าวไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบได้
แต่กลับไม่รวมกลุ่มกันเพื่อยกระดับการป้องกันภัยทุจริตดังกล่าว
๕. แนวนโยบายการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
ระบุถึงเรื่องการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบัตร โดย
ข้อ ๓.๒ กำหนดชัดเจนว่า
“กรณีเหตุการณ์ทุจริตที่มีผู้ถือบัตรได้รับความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านบัตร
และมีเหตุอันเชื่อได้ว่า
ไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ให้บริการต้องเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ถือบัตรอย่างครบถ้วน”
๖. เป็นความรับผิดชอบของ “ ธนาคารบัตรเครดิตฯ”
ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงไม่ควรนำคดีมาฟ้องผู้บริโภคต่อศาล
๗. การที่ธนาคารบัตรเครดิตฯ
ฟ้องร้องผู้บริโภคในลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามมาตรา ๑๒ ของ
พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑
ศาลจึงมีคำพิพากษา “ ยกฟ้อง”
ผู้เขียนเห็นว่า การรีบแจ้งให้ “ธนาคาร”
และ แจ้งความกับ “ตำรวจ” ทันที จะเป็น มาตรการในการช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้บริโภคว่า
ตนเองไม่ใช่ผู้ทำธุรกรรมดังกล่าว และจะเป็น “มาตรการยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหาย
และจะเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการต่อสู้คดีด้วย
คดีนี้ก็เช่นกัน PATTERN หรือ รูปแบบของมิจฉาชีพในคดีนี้ ก็คล้ายกับ คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทั่วไป
คือ
“ หลอกให้หลงรัก, หลอกให้หลงเชื่อ...., หลอกให้กลัว ..., หลอกว่าจะมอบสิ่งของให้ฟรี
,หลอกว่าได้รางวัล..... ฯลฯ จนเหยื่อ ( ผู้เสียหาย) หลงเชื่อ แล้วให้ “เพิ่มเพื่อน”
ผ่านแอปฯ ไลน์ และทำตามขั้นตอนที่มิจฉาชีพแนะนำ โดย “ กดลิงก์” เพื่อดาวน์โหลดแอปฯ
และกรอกข้อมูลส่วนตัว ยืนยันตัวตน
ขนาดคดีนี้ ผู้บริโภคเกิดสงสัย และได้หยุดดำเนินการในขั้นตอนยืนยันตน
พร้อมปิดโทรศัพท์แล้ว แต่ก็ไม่ทัน และพบว่าในช่วงเวลาดังกล่าว บัตรเครดิตของตัวเอง
ถูกใช้ในการขอเพิ่มวงเงินและเบิกถอนเงินสด 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 35,000 บาท ซึ่งถูกโอนเข้าบัญชีธนาคาร........ของผู้บริโภคเองก่อน จากนั้น เงินได้ถูกโอนออกไปยังบัญชีบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก
ยิ่งเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าเพียงใด คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยิ่งมีมากขึ้น
ฉะนั้น
การรู้เท่าทันกลโกง หรือการรู้เท่าทันเทคโนโลยี และ การรู้ข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติจะเป็นเกราะคุ้มครองภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
แต่หากพลาดไปแล้ว
ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางออนไลน์ , ทางเทคโนโลยี ไปแล้ว ก็อย่าลืมนึกถึง
“ ศูนย์ AOC ๑๔๔๑ หรือ แบงก์ชาติ ๑๒๑๓ หรือ โทร call center ธนาคาร
เพื่อออก BRI Number ให้ ”
·
นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
(อดีต)
รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน
(คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร (
สมัยที่ ๒๕)
๒๖ กันยายน ๒๕๖๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น