สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เผยว่
กำลังซื้อหด ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยปี 2567 สะดุด
จากการคาดการณ์ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่ วประเทศจะลดลง 15% หรือประมาณ 320,000 หน่วย ซึ่งเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะลดลง 8% และในภาคตะวันออกลดลงถึง 11% สาเหตุหลักมาจากการปฏิเสธสินเชื่ อของธนาคารที่ยังคงเข้มงวด ประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนที่ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตั วเต็มที่
แน้วโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ ในปี 2567
การเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่ มียอดเปิดตัวลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับปี 2566 โครงการแนวราบก็มีการชะลอการเปิ ดตัวเช่นกัน แต่ลดลงในอัตราที่น้อยกว่า (3%) ตลาดบ้านเดี่ยวมีการเติบโตถึง 60% ในเขตปริมณฑล ขณะที่โครงการทาวน์เฮ้าส์กลั บพบว่ามียอดเปิดตัวลดลงถึง 24% เนื่องจากกำลังซื้อของกลุ่มระดั บกลาง-ล่างลดลงอย่างชัดเจน
ทิศทางการพัฒนาโครงการและความต้ องการในปี 2567
บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เป็ นประเภทที่อยู่อาศัยที่ยังคงมี ความต้องการสูง โดยเฉพาะในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้ อสูงและต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ในขณะที่บ้านเดี่ยวระดั บราคามากกว่า 15 ล้านบาทเริ่มมีสัญญาณการอิ่มตัว และสินค้าคงค้างของบ้านในระดั บนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่ อเนื่อง ในทางกลับกัน ทาวน์เฮ้าส์กลุ่มระดับราคาต่ำ กว่า 3 ล้านบาทได้รั บผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิ จและการแข่งขันที่สูง
การปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาริ มทรัพย์
ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2567 ได้มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่ องเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดที่ ชะลอตัว เช่น การลดต้นทุนการดำเนินงาน หันมาให้ความสำคัญกับการพั ฒนาโครงการที่มีความยั่งยืน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังกลุ่ มอื่นๆ เช่น โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ และสถานออกกำลังกาย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดอสังหาริ มทรัพย์เพียงอย่างเดียว
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริ มทรัพย์ในปี 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่ างหนักจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรื อนและการปฏิเสธสินเชื่อที่ยั งอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่ อาศัยและการเปิดตัวโครงการใหม่ ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่ ได้รับผลกระทบหนักที่สุด อย่างไรก็ตาม การโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติ ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยขั บเคลื่อนตลาดได้ในบางพื้นที่ ขณะที่การปรับตัวของผู้พัฒนาอสั งหาริมทรัพย์มุ่งเน้นไปที่ ความยั่งยืนและการขยายธุรกิจเพื่ อลดความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวน
ตลาดอสังหาฯ ปี 2568 มีปัจจัยบวกจากการลดดอกเบี้ย บ้านแฝด บ้านเดี่ยว 7-15 ล้านมีแนวโน้มโตดี
สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าการปรับลดอั ตราดอกเบี้ยระหว่าง 0.5% - 0.75% ในปี 2568 จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ บริโภคได้ โดยเฉพาะกลุ่มระดับกลางและล่ างที่ได้รับผลกระทบจากหนี้ครั วเรือนสูงในช่วงก่อนหน้า การปรับตัวของภาคบริการ ที่คาดว่าจะขยายตัวมากขึ้นในปี 2568 จะช่วยสร้างรายได้และกระตุ้ นการบริโภคในวงกว้าง ส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาฯ ที่เชื่อมโยงกับภาคบริการในเมื องใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยว โดยผู้ประกอบการควรปรับเปลี่ ยนพัฒนาโครงการแนวราบ เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่ อาศัยจริง (Real Demand) อย่างไรก็ตามการพัฒนาบ้านเดี่ ยวในราคาสูงกว่า 20 ล้านบาทอาจเผชิญภาวะอิ่มตัว แต่โครงการบ้านเดี่ยวในราคากลาง (7-15 ล้านบาท) จะยังคงเป็นตลาดที่น่าลงทุน ส่วนทาวน์เฮ้าส์ กลุ่มระดับราคากลาง-ล่าง ยังคงต้องเฝ้าระวัง จากปัญหารายได้ยังปรับไม่ทันกั บราคาทาวน์เฮ้าส์ที่ปรับตัวสู งขึ้น และภาระหนี้ของกลุ่มผู้ซื้อบ้ านราคานี้ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนบ้านแฝดยังสามารถพัฒนาได้ และมีแนวโน้มเติบโตขึ้น
โอกาสของการพัฒนาโครงการคอนโด
คอนโดระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีการแข่งขันสูงและกำลั งซื้อที่จำกัด น่าจะยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2568 หากไม่มีมาตรการกระตุ้นจากภาครั ฐ อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้จะมี โอกาสในการฟื้นตัวกลับมาเติ บโตได้เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสร้ างใกล้แล้วเสร็จ หรือมีความชัดเจนมากขึ้น อย่าง สายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฏร์บูรณะ) สายสีส้มตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์) และสายสีน้ำตาล (แคราย-ลำสาลี)
แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติ
ตลาดการซื้อคอนโดของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีนและรั สเซีย จะยังคงเป็นปัจจัยที่สำคั ญในการขับเคลื่อนตลาดคอนโดในพื้ นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา การพัฒนาของระบบโครงสร้างพื้ นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้าและสนามบินจะช่ วยกระตุ้นการลงทุนในกลุ่มนี้เพิ่ มขึ้น
อสังหาฯ เพื่อความยั่งยืนมาแรง ตอบโจทย์ผู้บริโภค
แนวโน้มการพัฒนาโครงการอสังหาริ มทรัพย์ ที่เน้นความยั่งยืน เช่น บ้านประหยัดพลังงาน ระบบกรองอากาศเพื่อลดมลพิ ษในการอยู่อาศัย การใช้วัสดุรักษ์โลก ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ จะเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้ นในปี 2568 เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและสุ ขภาพมากขึ้น การพัฒนาบ้านที่เน้นเทคโนโลยีสี เขียว (Green Tech) จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ผู้ ประกอบการสามารถแข่งขั นในตลาดได้
สรุปแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2568 คาดว่าจะมีการฟื้นตัวแบบช้าๆ โดยมีปัจจัยบวกจากการลดดอกเบี้ ยและการขยายตัวของภาคบริการ อย่างไรก็ตาม ตลาดคอนโดราคาต่ำยังคงเผชิ ญความท้าทายสูง ในขณะที่ตลาดแนวราบ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับกลาง จะยังคงเป็นกลุ่มที่น่ าสนใจในการลงทุน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น