นับเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่สร้างกระแสให้คนทั่วโลกเข้าโรงภาพยนตร์ส่งท้ายปีกันอย่างคึกคักกับ“Disney’s Mufasa: The Lion King มูฟาซา: เดอะ ไลอ้อน คิง” ที่เผยให้เห็นปฐมบทแห่งเจ้าป่า ตำนานราชาแห่ง Pride Lands ที่นอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกเข้มข้นชวนติดตาม งานภาพและเสียงยังสร้างความประทับใจให้คนดูอิ่มเอมอย่างที่สุด ซึ่งเบื้องหลังความยอดเยี่ยมคือการทำงานร่วมกันอย่างลงตัวของผู้กำกับมือรางวัล แบร์รี่ เจนกินส์ (Barry Jenkins) และทีมโปรดักชันที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่ จนเกิดเป็นภาพและเสียงที่งดงามสมจริง พาให้คนดูดำดิ่งสู่การผจญภัยในแอฟริกา ราวกับว่ากำลังออกเดินทางไปกับมูฟาซาจริง ๆ
โดดเด่นด้วยเทคนิคการสร้างที่แปลกใหม่
แบร์รี่ เจนกินส์ ผู้กำกับชื่อดัง เริ่มงานผลิตภาพยนต์เรื่อง “Disney’s Mufasa: The Lion King มูฟาซา: เดอะ ไลอ้อน คิง”ในปี 2020 โดยให้ความสำคัญกับลุค หรือภาพรวมทางภาพและอารมณ์ของหนังเป็นอย่างมาก แม้จะได้แรงบันดาลมาจากภาพยนตร์และละครเวทีเรื่อง The Lion King ที่ผู้คนชื่นชอบ แต่เขาตั้งใจว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง” เจนกินส์จึงเลือกผสมผสานเทคนิคการสร้างภาพยนตร์แบบ Live-action เข้ากับการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์แบบสมจริง(Photoreal Computer-Generated Imagery) โดยทำงานร่วมกับแอนิเมเตอร์และดิจิทัลอาร์ตติสของ Moving Picture Company (MPC) ทีมที่เคยมอบชีวิตให้กับตัวละครสัตว์ที่โด่งดังของดิสนีย์เป็นมาแล้วใน The Jungle Book เมื่อปี 2016 และ The Lion King เมื่อปี 2019
จนในที่สุดก็ถ่ายทอดออกมาเป็นโลกของมูฟาซาที่เต็มไปด้วยความงดงามและความหลากหลายของภูมิประเทศในแอฟริกา เป็นฉากอันน่าทึ่งและน่าประหลาดใจ พร้อมทั้งฉากที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างทิวทัศน์หิมะ โดยโลกของมูฟาซานี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 107 ตารางไมล์ หรือเทียบเท่าเมือง Salt Lake City ในรัฐ Utah เลยทีเดียว และฉากเหล่านี้ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเล่าเรื่องการเดินทางของมูฟาซา ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และเชิงจิตวิญญาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น