กรมศุลกากรชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ศุลกากรสนามบินสุวรรณภูมิเรียกรับเงิน และบังคับนักท่องเที่ยวจีนให้เซ็นเอกสารยกนาฬิกา Rolex ให้กับแผ่นดิน - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568

กรมศุลกากรชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ศุลกากรสนามบินสุวรรณภูมิเรียกรับเงิน และบังคับนักท่องเที่ยวจีนให้เซ็นเอกสารยกนาฬิกา Rolex ให้กับแผ่นดิน

 


จากกรณีที่มีผู้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีเจ้าหน้าที่ศุลกากรสนามบินสุวรรณภูมิเรียกรับเงินและบังคับนักท่องเที่ยวจีนให้เซ็นเอกสารยกนาฬิกา Rolex ให้กับแผ่นดิน นั้น

กรมศุลกากรขอชี้แจง มีรายละเอียดดังนี้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 21.15 น.ผู้โดยสารชาวจีน 2 รายนี้ เดินทางมาจากมาเก๊า โดยมีนาฬิกาข้อมือ Rolex สภาพใหม่ มีพลาสติกใสห่อหุ้มตัวเรือน พร้อมใบรับประกัน และอุปกรณ์อื่นๆ มาคนละ 1 เรือน เดินผ่านช่องเขียว (ไม่มีของต้องสำแดง) เจ้าหน้าที่ศุลกากร

ได้เรียกตรวจ ผู้โดยสารทั้ง 2 ราย พบนาฬิกาข้อมือใหม่อยู่ในกระเป๋าของผู้โดยสารคนละ 1 เรือน

          ในขณะทำการตรวจสอบผู้โดยสารรายหนึ่ง มีการพูดคุยเสียงดังตลอดเวลา ส่วนอีกคนไม่ค่อยพูด ให้คนแรกเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง หลังจากนำตัวผู้โดยสารทั้ง 2 ราย มาที่ห้องของฝ่ายสืบสวนและปราบปราม เพื่อทำการบันทึกข้อกล่าวหา ผู้โดยสารคนแรก มีการโทรศัพท์คุยกับบุคคลภายนอกตลอดเวลา ไม่ค่อยให้ความสนใจ หรือรับฟังคำอธิบายข้อกฎหมายและสิทธิตามกฎหมาย จากเจ้าหน้าที่ และล่ามภาษาจีน ส่วนคนที่สองนั่งนิ่งเงียบไม่ค่อยตอบคำถามอะไร บอกแต่เพียงว่าตนจะทำตามผู้โดยสารคนแรก เท่านั้น

ในระหว่างการจับกุมได้มีบุคคลภายนอกอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานอื่น โทรเข้ามาขอให้ผู้โดยสารทั้ง 2 ราย สามารถไปเสียภาษีแทนการจับกุม เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่าได้พิจารณาจับกุมไปแล้ว เนื่องจากผู้โดยสารเดินผ่านทางช่องเขียว หรือ ช่องไม่มีของต้องสำแดง (Nothing to Declare) แสดงเจตนาว่าไม่มีของต้องแสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลการ ถือว่าได้มีเจตนาปกปิด หรือ ซ่อนเร้น จึงเป็นการกระทำผิดสำเร็จแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปเสียภาษีได้ ระหว่างการจับกุมมีเพียงผู้โดยสารรายแรก ขอไปเข้าห้องน้ำ 1 ครั้ง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ 2 นาย พาไปเข้าห้องน้ำผู้โดยสารบริเวณสายพานหมายเลข 9 และยืนรออยู่ที่หน้าทางเข้าห้องน้ำ ไม่ได้เดินเข้าไปด้วย ทั้งนี้ในระหว่างนั้น

ก็มีบุคคลภายนอกอีกราย ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกหน่วยงานหนึ่ง โทรศัพท์มาขอให้ไปเสียภาษีอีก 1 รอบ เจ้าหน้าที่ก็ปฏิเสธ โดยชี้แจงเหตุผลตามที่ชี้แจงเบื้องต้น (ส่วนผู้โดยสารรายที่ 2 ไม่ได้มีการไปเข้าห้องน้ำระหว่าง

การจับกุม)

ในระหว่างการดำเนินการจับกุมได้มีเพื่อนของผู้โดยสารทั้ง 2 ราย โทรศัพท์เข้ามาสอบถามรายละเอียด

เป็นระยะ ๆ และแจ้งว่ากำลังเดินทางมาสนามบินเพื่อจะมาพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาเรื่องเคสของทั้งคู่ แต่ก็ไม่มีใครเดินทางมา หลังจากล่ามแปลความโดยอธิบายเอกสารบันทึกจับกุมให้ฟังแล้ว ผู้โดยสารทั้ง 2 ราย แจ้งว่าขอเวลาคิดและโทรปรึกษาคนอื่นก่อน แล้วจะให้คำตอบอีกทีว่าจะยินยอมระงับคดีในชั้นศุลกากร และยกของกลางให้เป็น

ของแผ่นดินหรือไม่ หลังจากโทรปรึกษาเรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารทั้ง 2 รายตัดสินใจไม่ระงับคดีในชั้นศุลกากร และจะขอไปสู้คดีในชั้นศาล ซึ่งผู้โดยสารทั้ง 2 ราย ไม่ประสงค์ลงลายมือชื่อในบันทึกจับกุม จนกระทั่งเวลาประมาณ 00.30 น.

ของวันที่ 5 สิงหาคม 2567 เจ้าหน้าที่จึงได้พาตัว ผู้โดยสารทั้ง 2 ราย ไปที่สถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการต่อไป

/ ต่อมา...

ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 13.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อกลับมาเป็นหนังสือ ขอส่งตัวผู้ต้องหามาขอระงับคดี ได้มีการระบุข้อความชัดเจนว่า ระหว่างการสอบสวนเพื่อดำเนินคดี ผู้ต้องหามีความประสงค์ที่จะระงับคดีด้วยความสมัครใจของตนเอง จึงขอให้พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ต้องหาไปยังที่ทำการศุลกากรประจำ

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อให้ของกลางตกเป็นของแผ่นดินต่อไป จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรไปที่สถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิเพื่อนำตัวผู้โดยสารไประงับคดีกับศุลกากร เจ้าหน้าที่ศุลกากร จึงได้ไปพาตัวผู้โดยสารทั้ง 2 รายไปพบ

นิติกร ฝ่ายคดี เพื่อระงับคดีตามขั้นตอนต่อไป เมื่อระงับคดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงได้ปล่อยผู้โดยสารทั้ง 2 ราย และโดยได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรว่าจะไปรับพาสปอร์ตคืนจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีหนังสือร้องเรียนในเรื่องเกี่ยวกับกรณีการจับกุมรายดังกล่าว

มาที่กรมศุลกากร ทางสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้มีหนังสือชี้แจง ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ให้กรมศุลกากรทราบแล้ว เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568

กรมศุลกากรขอเรียนชี้แจงว่า การตรวจ และการจับกุมผู้โดยสารเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนครบถ้วน

ทุกประการ รวมถึงการชี้แจงและแจ้งข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้กระทำการผ่านล่ามเพื่อแปลเป็นภาษาจีน

ให้ผู้โดยสารได้เข้าใจอย่างครบถ้วนถูกต้อง ทั้งนี้ผู้โดยสารทั้งสองรายดังกล่าวไม่ยินยอมระงับคดีในชั้นศุลกากร เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงส่งให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิดำเนินคดีต่อไป โดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญ

ให้กระทำการ หรือลงนามในบันทึกจับกุมแต่อย่างใด และเมื่อสถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิมีหนังสือ ขอส่งตัวผู้ต้องหามาขอระงับคดี เจ้าหน้าที่ศุลกากรก็ได้ดำเนินการตามกฎหมาย ครบทุกขั้นตอน ผ่านพยานซึ่งเป็นล่ามภาษา โดยมิได้มีการกระทำใดๆที่เป็นการบังคับขู่เข็ญ พร้อมทั้งมีหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ โดยไม่มีการเรียกร้องรับผลประโยชน์ ตามที่ได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad