“เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย” ชวนจับตาคลื่นการลงทุนของ “อาเซียนยุคใหม่” ที่พร้อม พลิกโฉม อินฟราฯ–ดิจิทัล– ขนส่ง - Net Zero พร้อมเม็ดเงินลงทุน 26 ล้านล้านเหรียญฯ ดีมานด์วัสดุคุณภาพพุ่งหลายเท่าตัว ชู “Wire&Tube Southeast Asia 2025” - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568

“เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย” ชวนจับตาคลื่นการลงทุนของ “อาเซียนยุคใหม่” ที่พร้อม พลิกโฉม อินฟราฯ–ดิจิทัล– ขนส่ง - Net Zero พร้อมเม็ดเงินลงทุน 26 ล้านล้านเหรียญฯ ดีมานด์วัสดุคุณภาพพุ่งหลายเท่าตัว ชู “Wire&Tube Southeast Asia 2025”

 


ตอกย้ำไทยแม่เหล็กใหญ่ด้านวัสดุและนวัตกรรมเพื่อเมกะโปรเจกต์ เปิดฉากกันยายนนี้

 เจาะตลาดเหล็ก ลวด ท่อ เคเบิลในอาเซียน ภูมิภาคที่มีดีมานด์ขนาดใหญ่ พร้อมชวนมองไทยกับการก้าวสู่ศูนย์กลางวัสดุโครงสร้างคุณภาพสูงของอาเซียน

ภูมิภาคอาเซียนกำลังก้าวเข้าสู่การยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ ภายใต้แผนแม่บท MPAC 2025 ที่มุ่งเสริมพลังการแข่งขันของทั้งภูมิภาคผ่าน 4 เสาหลัก ทั้งด้านพลังงาน การขนส่ง เทคโนโลยีดิจิทัล และการพัฒนาเมือง เมกะเทรนด์เหล่านี้ไม่เพียงเร่งเครื่องโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในหลายประเทศ แต่ยังปลุกดีมานด์ใหม่ในตลาดวัสดุโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเหล็ก ลวด ท่อ และโลหะ ที่ต้องไม่ใช่แค่ในด้านปริมาณ แต่ต้อง มาพร้อมคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความยั่งยืน และชาญฉลาด เพื่อตอบโจทย์เมืองอัจฉริยะและเศรษฐกิจ Net-Zero ที่กำลังเป็นเป้าหมายร่วมของทั้งภูมิภาค

และท่ามกลางคลื่นความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ “เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย” ในฐานะผู้นำด้านการจัดแสดงงานอุตสาหกรรมระดับโลก ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพและแนวทางในการเพิ่มการลงทุน การปรับตัว และการแข่งขันในมิติที่เกี่ยวข้อง จึงเตรียมเปิดเวทีสำคัญให้ผู้เล่นไทยและภูมิภาคได้เข้าใจเทรนด์ และเตรียมความพร้อมผ่านงาน Wire&Tube Southeast Asia 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–19 กันยายน 2568 ณ ไบเทค บางนา เพื่อร่วมกันปักหมุดอนาคตใหม่ของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในอาเซียน พร้อมกันนี้ยังได้วิเคราะห์ถึงศักยภาพต่าง ๆ ที่มีในอาเซียน ซึ่งมีหลากประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อหลากภาคส่วนในระดับมหภาค

อาเซียนประมาณเม็ดเงิน 26 ล้านล้านเหรียญฯ พร้อมลงทุนขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่

การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอาเซียน ส่งผลให้แนวโน้มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคขยับขยายขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าภายในปี 2030 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะต้องการเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการพัฒนาด้านการผลิตไฟฟ้าประมาณ 14.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านระบบขนส่งประมาณ 8.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านโทรคมนาคมประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพื่อรองรับการเติบโตของด้านเศรษฐกิจดิจิทัลประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนถึงความเป็นแม่เหล็กที่พร้อมดึงดูดเงินทุนระดับโลก เพื่อการคว้าโอกาสที่จะสร้างภูมิทัศน์เมือง อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อมของอนาคต เช่นเดียวกับผลการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) ที่มีการคาดการณ์ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีรายได้ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (GDP) เพิ่มขึ้นเป็น 4.25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และ 5.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2029 เพื่อยกระดับระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานสะอาด ระบบขนส่งที่เชื่อมโยงไร้รอยต่อ เมืองอัจฉริยะที่ยั่งยืน และเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น 5G-6G โดยทิศทางการยกระดับระบบโครงสร้างพื้นฐานนี้ไม่ใช่เพียงความเคลื่อนไหวภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่เป็นแรงขับเคลื่อนร่วมกันของอาเซียน ซึ่งสอดรับกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ.2025 (Master Plan on ASEAN Connectivity 2025 หรือ MPAC 2025) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund หรือ AIF) ซึ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์การเจริญเติบโตของเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาค และเศรษฐกิจยุค Net-Zero ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์

ทำให้ผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือความต้องการด้านวัสดุก่อสร้างและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเหล็กสีเขียว (Green Steel) ท่อ High Density Polyethylene (HDPE) และสายเคเบิลอัจฉริยะ ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนเมกะโปรเจกต์

ทั่วภูมิภาค โดยปัจจุบัน ภูมิภาคอาเซียนกำลังขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเมือง และการก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง เช่น โครงการเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย หรือนูซันตารา ซึ่งออกแบบให้เป็นเมืองสีเขียวอัจฉริยะ ขณะที่สิงคโปร์ก็กำลังก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 5 ของสนามบินชางงี ด้วยแนวคิดประหยัดพลังงานและเพิ่มโอกาสจ้างงานจำนวนมาก ด้านเวียดนามได้เปิดตัวรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกในฮานอย ด้วยวัตถุประสงค์ในการลดมลพิษ แก้ปัญหาจราจร และขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมือง โครงการเหล่านี้ตอกย้ำทิศทางการพัฒนาเมืองอาเซียนที่เน้นการบูรณาการนวัตกรรม เทคโนโลยี และแนวทางที่ยั่งยืนควบคู่กัน

ขณะเดียวกัน รายงานการลงทุนอาเซียน 2024 ยังเผยให้เห็นความแข็งแกร่งของภูมิภาคในฐานะจุดหมายปลายทางของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยมียอด FDI ทะลุ 230 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ภาวะการลงทุนทั่วโลกจะชะลอตัวก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ FDI จำนวนมากในอาเซียนกำลังมุ่งเป้าไปที่เทคโนโลยีดิจิทัลและสีเขียว พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ออนาคตการเติบโตของภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้แนวโน้ม FDI ที่เน้นความยั่งยืนและเทคโนโลยีขั้นสูง ยังส่งผลโดยตรงต่อความต้องการวัสดุก่อสร้างรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสายเคเบิลพิเศษสำหรับสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือวัสดุที่พร้อมรองรับ การติดตั้งเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะ ในจังหวะที่การพัฒนาเมืองทั่วอาเซียนกำลังพลิกโฉมอย่างเร่งรัด นี่จึงเป็น โอกาสทองของอุตสาหกรรมวัสดุของไทย ซึ่งมีศักยภาพสูงในการตอบสนองความต้องการของตลาด ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในมิติของความยั่งยืนและนวัตกรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตใหม่ ให้ภูมิภาคอย่างแท้จริง

“เหล็ก ลวด ท่อ โลหะ” หัวใจของการพัฒนา เมื่อตลาดมองหาคุณภาพแทนที่ต้นทุน

ในระยะที่อาเซียนกำลังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน วัสดุอย่างเหล็ก ลวด ท่อ และโลหะต่าง ๆ ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญงานก่อสร้างอาคารสูง ระบบรถไฟความเร็วสูง สนามบิน หรือโครงการเมืองอัจฉริยะขนาดใหญ่ และล้วนมีความต้องการวัสดุโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง ทนทาน ตรงตามมาตรฐานสากล โดยปัจจุบันความต้องการของเหล็ก ลวด ท่อ และโลหะต่าง ๆ เป็นดังนี้

 ความต้องการใช้เหล็กในประเทศไทยปี 2025 มีแนวโน้มเติบโต 1.7% โดยปริมาณการใช้งานอยู่ ที่ประมาณ 16.2 ล้านตัน ได้รับแรงหนุนจากโครงการก่อสร้างภาครัฐ ส่วนราคาเหล็กมีแนวโน้มลดลงโดยเฉลี่ย 4.8% เพราะผลจากต้นทุนวัตถุดิบและการแข่งขันกับเหล็กราคาถูกนำเข้าจากจีน และประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ส่งผลต่อการแข่งขันในภูมิภาคโดยรวม สำหรับไทย การผลิตเหล็กมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 6.4 ล้านตัน แต่ยังเผชิญ กับอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำ ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มว่าปริมาณเหล็กนำเข้า จะเพิ่มจากตลาดเหล็กที่แข่งขันสูงในภูมิภาค ทำให้ผู้ผลิตในไทยต้องปรับตัวด้านคุณภาพ และมาตรฐานเพื่อรักษาการเติบโตและการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

 ตลาดลวดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่า 81.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) 6.43% ระหว่างปี 2025-2032 ตลาดสายไฟฟ้า และสายควบคุมมีมูลค่า 63.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) 7.2% จากปี 2025-2034 โดยการเติบโตนี้ขับเคลื่อนจากการพัฒนาอุตสาหกรรม การขยายตัวของเมือง และการลงทุนในพลังงานและโทรคมนาคม

 ตลาดท่อในอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตสูง โดยตลาดท่อพลาสติกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่า 9.09 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 14.3% ต่อปีถึงปี 2030 ซึ่งปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียยังคงครองตลาด และเวียดนามมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุด

ถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่อุตสาหกรรมกลุ่มนี้กลับมีแนวโน้มเติบโตสวนกระแส โดยเฉพาะเมื่อหลายประเทศในอาเซียนเริ่มมองข้ามวัสดุราคาถูก และหันมาพิจารณาความคุ้มค่าระยะยาวแทน ส่งผลให้สินค้าคุณภาพกลายเป็นพระเอกของอุตสาหกรรมครั้งใหม่ ดังนั้นผู้ผลิตไทยที่สามารถผลิตวัสดุที่มีคุณสมบัติเฉพาะ มีความน่าเชื่อถือ มาตรฐานสูง และตอบสนองต่อมาตรฐานสิ่งแวดล้อมจึงเริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น ซึ่งนี่เองเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ อุตสาหกรรมวัสดุโครงสร้างพื้นฐานไทยมีศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำภูมิภาค และยังมีโอกาสไต่ระดับสู่ตลาดโลก หากสามารถเสริมความได้เปรียบอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง

ไทยกับการก้าวสู่ศูนย์กลางวัสดุโครงสร้างคุณภาพสูงของอาเซียน

ประเทศไทยมีองค์ประกอบสำคัญหลายประการที่สนับสนุนให้กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมวัสดุโครงสร้างขั้นสูง ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน และในเชิงอุตสาหกรรมที่มีฐานการผลิตหลากหลายและเชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร ตั้งแต่เหล็กรีดร้อน รีดเย็น ลวดทองแดง ไปจนถึงท่อพลาสติกที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และไทยยังมีดีมานด์ภายในประเทศที่เข้มแข็งจากการลงทุนในเมกะโปรเจกต์หลาย ๆ โครงการ เช่น โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor หรือ ECC) โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 และเมืองอัจฉริยะต่าง ๆ ที่มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการสามารถเดินเครื่องผลิตได้ต่อเนื่องและมีสเกลที่ใหญ่พร้อมรองรับการส่งออก นอกจากนี้ภาครัฐไทยยังมีทิศทางที่ชัดเจนในการผลักดันอุตสาหกรรมนี้สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการส่งเสริมการใช้วัสดุเหล็กสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Steel) มาตรการภาษี และมาตรการการคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศจากการทุ่มตลาด (Anti-dumping) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุน และผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมวัสดุโครงสร้างคุณภาพสูงของภูมิภาคอย่างแท้จริง เมื่อปัจจัยทั้งหมดประกอบกันอย่างลงตัว ไทยจึงกลายเป็นประเทศที่มีระบบนิเวศอุตสาหกรรมวัสดุโครงสร้างที่ครบเครื่องในระดับภูมิภาค และพร้อมจะสะท้อนศักยภาพของตัวเองในเวทีระดับนานาชาติที่กำลังจะมาถึงในเร็วนี้

“Wire & Tube Southeast Asia 2025” เวทีปักหมุดความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมไทยสู่สายตาโลก

เพื่อตอบรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพลิกโฉมภูมิภาคอาเซียน และแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยบนเวทีโลก เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชียเตรียมตัวเปิดเวที “Wire&Tube Southeast Asia 2025” ซึ่งถือเป็นการเปิดเวทีมหกรรมเป็นครั้งที่ 16 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไฮไลต์ของงานในครั้งนี้ ประกอบด้วย การรวมตัวของผู้ประกอบการในประเทศไทยและทั่วเอเชียเพื่อจัดแสดงสินค้าคุณภาพ พร้อมด้วยการเปิดพื้นที่บิซิเนส แมชชิ่งที่เปิดโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ และ Talk Session ที่ชวนทุกภาคส่วนร่วมกันสำรวจอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ทั้งในมิติของเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ งานนี้ไม่เพียงเป็นเวทีจัดแสดง แต่ยังเป็นแพลตฟอร์ม All-In-One ที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพในฐานะศูนย์กลางการผลิตวัสดุโครงสร้าง พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานไทยสู่เวทีอาเซียนและนานาชาติซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2568 ณ ฮอลล์ 102 – 103 ศูนย์จัดแสดงสินค้าไบเทค บางนา สามารถติดตามรายละเอียดการจัดงานได้ที่ https://www.wire-southeastasia.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad