รัฐเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มกลางเชื่อมต่อบริการเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนติดต่อภาครัฐผ่านทางออนไลน์ตามแบบวิถีชีวิตใหม่ พร้อมให้ สพร. สนับสนุนการจัดทำระบบการบริหารจัดการภาครัฐรองรับการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 โดยมี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ โดยที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าและเห็นควรให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร หรือ DGA) เร่งขับเคลื่อนการพัฒนาสถาปัตยกรรมรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย (1) แพลตฟอร์มกลางในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ (Thailand Government Information Exchange: TGIX) เพื่อให้เกิดมิติใหม่ในการบริการประชาชนโดยไม่ต้องเตรียมเอกสารจำนวนมาก ลดการใช้สำเนาเอกสาร และลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน สามารถให้บริการประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์สอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 (2) ระบบพิสูจน์และยืนยันตัวบุคคลด้านดิจิทัล (Digital ID) โดยจะเริ่มนำร่องกับข้าราชการพลเรือนสามัญ รวมถึงการใช้ลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ในการลงนามเอกสารราชการต่างๆ ที่ไม่ต้องดำเนินการในรูปแบบกระดาษ (3) ระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ (Government Data Catalog) เพื่อให้ประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ สามารถเข้าถึงข้อมูลภาครัฐได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันไทยได้รับการเลื่อนอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government Development Index: EGDI) เป็นอันดับที่ 57 ของโลกจาก 193 ประเทศ และเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน ซึ่งเป็นการยกระดับประเทศไทยจากกลุ่มการพัฒนาสูงมาอยู่ในกลุ่มที่มีการพัฒนาในระดับสูงมาก
ที่ประชุมยั
งได้เห็นชอบให้ สพร. เร่งพัฒนาศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมู
ลกลาง (Government Data Exchange: GDX) สำหรับการบูรณาการข้อมูลภาครัฐ ในระยะเวลา 2 ปี พ.ศ. 2564-2566 และจัดทำมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้
อมูลและแนวทางการดำเนินการศูนย์
แลกเปลี่ยนข้อมูลกลางร่วมกับหน่
วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็
นไปตามแผนพัฒนามาตรฐานภายใต้ชื่
อ “มาตรฐานการเชื่อมโยงและแลกเปลี่
ยนข้อมูลภาครัฐ” โดยแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนข้อมู
ลจะทำงานร่วมกับระบบบัญชีข้อมูล ระบบการยืนยันและกำหนดสิทธิ
การใช้งาน และบริการดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงานรั
ฐ บนระบบที่มีความมั่นคงปลอดภัย เพื่อผลักดันรัฐบาลดิจิทั
ลของประเทศไปสู่หลักการ Once Only Principle หรือการที่ประชาชนให้ข้อมูลกั
บภาครัฐแค่ครั้งเดียวและภาครั
ฐทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้นผ่
านแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งจะทำให้ภาครั
ฐสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่
ประชาชนได้แบบครบวงจร เช่น ระบบการยื่นภาษี
ของกรมสรรพากรจะขอใช้ข้อมูลบุ
คคลจากกรมการปกครอง การให้บริการด้านธุรกิจแบบเบ็
ดเสร็จ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้
านการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัย เป็นต้น
รองนายกฯ ดอนเห็นว่าการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำงานของภาครัฐไปสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนพึงได้รับ การตอบสนองความต้องการของประชาชน และให้ประชาชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจัง โดยควรให้ความสำคัญกับทุกมิติอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการเตรียม ความพร้อมด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล พร้อมให้เร่งพัฒนาทักษะบุคลากรภาครัฐด้านดิจิทัลให้ทันกับ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเร่งผลิตบุคลากรด้านดิจิทัลให้มีเพียงพอ โดยควรให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากร รวมทั้งทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคเอกชนด้วย
ดร. สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารั
ฐบาลดิจิทัล กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อยกระดับการบริหารจั
ดการภาครัฐและการให้บริ
การประชาชนไปสู่ดิจิทัลอย่างเต็
มรูปแบบ สพร. ได้เตรียมระบบสารบรรณอิเล็
กทรอนิกส์ เพื่อให้บริการแก่หน่วยงานภาครั
ฐในการรับ-ส่งเอกสารผ่านช่
องทางออนไลน์ได้ พร้อมมีระบบ e-CMS สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมู
ลระหว่างระบบสารบรรณกลางกั
บระบบสารบรรณของแต่ละหน่วยงาน โดยใช้ควบคู่กับระบบพิสูจน์
และยืนยันตัวบุคคลทางดิจิทั
ลสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ (Digital Government ID) และการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กั
บหน่วยงานภาครัฐและความปลอดภั
ยของข้อมูล และวางแผนจะขยายผลการให้บริ
การระบบบริหารจัดการภาครัฐไปยั
งหน่วยงานระดับท้องถิ่นในอนาคต อีกทั้ง สพร. อยู่ระหว่างการร่วมมือกับพันธมิ
ตรเดินหน้าขับเคลื่
อนโครงการใบแสดงผลการศึกษาดิจิ
ทัล (Digital Transcript) เพื่อตอบโจทย์สำคั
ญในการลดการเรี
ยกสำเนาเอกสารจากประชาชน ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่
างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ซึ่งจะสามารถประหยัดเงินรวม 378,735,024 บาท/ปี ลดการใช้กระดาษรวม 4,029,096 แผ่น/ปี และลดการใช้ซองเอกสารรวม 2,686,064 แผ่น/ปี โดยระยะแรกจะเริ่มต้นจากการให้
หน่วยงานของรัฐรับเอกสาร ใบแสดงผลการศึกษาแบบดิจิทัล (Digital Transcript) ในรูปแบบไฟล์ PDF/A-3 ที่มี Digital Signature Certificate ที่สามารถป้องกั
นการปลอมแปลงเอกสารได้
ตามมาตรฐานที่ สพธอ. และ สพร. กำหนด แทนเอกสารใบแสดงผลการศึกษารู
ปแบบกระดาษ โดยให้ถือเป็นเอกสารหลั
กฐานทางราชการ และขยายผลไปยังเอกสารทางการศึ
กษาอื่น ๆ เพื่อรองรับการเป็นรัฐบาลดิจิทั
ล ให้บริการผ่านทางออนไลน์
ตามแบบวิถีชีวิตใหม่ (new normal) และขยายผลการให้บริการ ใบแสดงผลการศึกษา ในรูปแบบดิจิทัล ไปยังโรงเรียนระดับมัธยมศึ
กษาตอนปลาย และสถาบันการศึกษาทั้งรั
ฐและเอกชน ให้สามารถรับและออกเอกสารในรู
ปแบบดิจิทัลได้ ซึ่งเป็นการขยายผลและดำเนิ
นงานตามนโยบายการยกเลิกเรี
ยกสำเนาเอกสารทางราชการจากประชา
ชนให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมยิ่
งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น