Key takeaways
• KKP
Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้าลงหลังโควิด-19 ไม่ได้เป็นเพียงการโตต่ำกว่าศักยภาพ
แต่อาจเป็นเพราะศักยภาพเศรษฐกิจไทยกำลังถดถอยลง
• ในระยะข้างหน้า
ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตได้ต่ำกว่า 2% ด้วย 3 เหตุผลหลัก ได้แก่ 1) ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
ภายใต้ภาวะการแข่งขันจากต่างประเทศที่เข้มข้นขึ้น 2) กำลังแรงงานที่ทั้งลดลงและแก่ตัวลง และ 3) ขาดการลงทุนที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพของปัจจัยการผลิต
• นโยบายการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
ที่นำไปสู่การลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี
จึงเป็นทางออกสำคัญที่จะยกศักยภาพเศรษฐกิจไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก
นอกจากนี้ การปฏิรูปภาคการคลังและระบบภาษีก็เป็นสิ่งจำเป็น
โดยเฉพาะในวันที่คนไทยกำลังแก่ตัวขึ้น
ศักยภาพเศรษฐกิจไทยต่ำลงทุกวิกฤต
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเริ่มถูกพูดถึงอีกครั้งในวงกว้าง หลังจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังการระบาดของโควิด-19 ยังไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ จนเริ่มมีคำถามว่า ‘หรือเศรษฐกิจไทยไม่ใช่กำลังโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยได้ลดต่ำลงไปแล้ว?’
หากย้อนกลับไปดูเศรษฐกิจไทยในรอบ
3 ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่น่าแปลกใจที่หลายฝ่ายจะมีข้อสังเกตแบบนี้
เพราะทุกครั้งที่ไทยต้องเผชิญกับวิกฤตที่ทำให้เศรษฐกิจไทยต้องหดตัวรุนแรง
แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะลดต่ำลงทุกครั้ง
นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งในปี
1997 ที่เศรษฐกิจไทยเติบโตลดลงจากมากกว่า 7% ในช่วงก่อนหน้ามาเหลือเพียง 5%
หลังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 3% และหลังวิกฤตโควิดในปี 2019 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยได้เพียง 2%
แรงงาน-ทุน-เทคโนโลยี
แล้วอะไรเป็นตัวกำหนดศักยภาพเศรษฐกิจไทย
ตามหลักการเศรษฐศาสตร์
ปัจจัยที่กำหนดว่าเศรษฐกิจของแต่ละประเทศควรจะเติบโตได้เท่าไร แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักตามปัจจัยการผลิต ได้แก่
1) จำนวนแรงงาน 2) การสะสมทุน และ 3)
เทคโนโลยี ที่จะช่วยให้แรงงานและทุนสามารถผลิตได้มากขึ้น หรือเพิ่มผลิตภาพของปัจจัยการผลิตนั้นเอง
KKP Research ประเมินว่า ‘ศักยภาพ’
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจจะลดลงมาอยู่ที่เพียงต่ำกว่า 2%
หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง
โดยปัจจัยการผลิตที่เป็นแรงฉุดสำคัญ
คือ ‘แรงงาน’ ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้ศักยภาพการเติบโต (GDP Potential) ลดลงประมาณ 0.5 จุดต่อปีจนถึงปี 2030 และลดลง 0.8 จุดต่อปีในทศวรรษที่
2040 ซึ่งจะทำให้ศักยภาพ GDP ไทยเหลือต่ำเพียงราว 2% ต่อปี โดยที่คงสมมติฐานให้การสะสมทุนและผลิตภาพเท่าเดิม
ซ้ำร้ายกว่านั้น
หากการสะสมทุนหรือผลิตภาพหดตัวลงด้วย (ซึ่ง KKP Research มองว่าจะทยอยลดลงเช่นกัน) จะทำให้ศักยภาพ GDP
ไทยจะต่ำลงไปได้ถึง 1.3% ต่อปีในปลายทศวรรษหน้า
(%) |
ศักยภาพ GDP |
แรงงาน |
ทุน |
ผลิตภาพ |
1961-70 |
8.1 |
2.5 |
2.5 |
3.1 |
1971-80 |
7.8 |
3.1 |
2.1 |
2.6 |
1981-90 |
6.5 |
2.8 |
1.9 |
1.7 |
1991-00 |
6.3 |
1.7 |
1.9 |
2.7 |
2001-10 |
3.7 |
0.9 |
0.7 |
2.1 |
2011-19 |
3.1 |
0.3 |
0.7 |
2.0 |
2020-29 |
1.9 |
-0.5 |
0.6 |
1.8 |
2030-39 |
1.3 |
-0.8 |
0.5 |
1.6 |
ที่มา: World Bank,
NESDC, Penn World Table, Conference Board, KKP Research
แรงงานหดหายฉุดเศรษฐกิจ
ปัจจัยด้านแรงงาน
สำหรับประเทศไทยนอกจากจะเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged society) ซึ่งหมายถึงการที่มีประชากรอายุมากกว่า 65
ปีเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% แล้ว กำลังแรงงานในวัยทำงาน (15-60 ปี) ก็ได้ลดลงแล้วด้วย
จากประมาณการของสหประชาชาติคาดว่าประชากรไทยจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030
โดยประชากรวัยทำงานได้ผ่านจุดสูงสุดไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ปี 2012
และจะหดตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 0.7%
จนลดลงเหลือสัดส่วนเพียง 60% ของประชาการทั้งหมดในปี 2030
จาก 70% ในปี 2012
ขณะที่ประชากรวัยเด็กมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ยปีละ 1.8%
ต่อปีจนถึง 2030 ทั้งหมดนี้สวนทางกับประชากรผู้สูงอายุกลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก
10% ในปี 2012 เป็น 20% ในปี 2023
ประชากรวัยทำงานและวัยเด็กที่ลดลง
ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น สร้างความท้าทายกับเศรษฐกิจไทยอย่างน้อยใน 2 ด้านหลัก ประเด็นแรก
คือ กำลังซื้อในประเทศจะลดลง
และจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อไทยเคลื่อนตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย
ๆ กำลังซื้อสินค้าคงทนอย่างรถยนต์และสินค้าฟุ่มเฟือยต่าง ๆ คาดว่าจะหดตัวลง
แต่สินค้าอย่างสินค้าหรือบริการด้านสุขภาพและสินค้าจำเป็นจะเติบโตมากขึ้น
ประเด็นที่สอง
คือ นอกจากกำลังแรงงานลดลงแล้ว ผลิตภาพแรงงานก็ลดลงด้วย โดยกำลังแรงงานผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2012 และจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อย
ๆ
ขณะที่ผลิตภาพแรงงานที่สะท้อนความสามารถในการทำงานของแรงงานไทยก็ชะงักงันหรือเติบโตได้เล็กน้อยมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกัน
การลงทุนหายไปตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง
เมื่อกำลังงานแรงงานกำลังหดตัว การสะสมทุนหรือเทคโนโลยีควรจะเพิ่มขึ้นมาชดเชยความสามารถในการผลิตที่จะหายไป แต่ระดับการลงทุนในเศรษฐกิจไทยกลับหายไปนับตั้งแต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จากที่มีการสะสมทุนเฉลี่ยปีละ 6.6% ต่อปี ลดลงเหลือ 2.1% ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา
KKP Research มองว่าฐานผู้บริโภคที่หดตัวลง การค้าโลกที่ผ่านยุคทองไปแล้ว
ความสามารถในการแข่งขันโดยรวมที่ลดลง
และการขาดการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน
มีส่วนทำให้การสะสมทุนในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งลดลง ขณะที่แนวโน้มในอนาคต
ความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทาน
การค้าและการลงทุนโลกที่กำลังเปลี่ยนไปจะสร้างความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นอีก
นอกจากนี้
ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคเอกชนโดยรวมที่สูงขึ้น คุณภาพของหนี้ที่ลดลง
นโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้
และการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในระยะหลัง
ทำให้โอกาสที่จะขยายการลงทุนในเศรษฐกิจไทยโดยรวมลดลงไปด้วย
ผลิตภาพอยู่ในช่วงขาลง
นอกจากการสะสมทุนเพื่อการผลิตแล้ว
อีกทางหนึ่งที่สามารถชดเชยกำลังแรงงานได้คือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ
เพื่อทำให้แรงงาน 1 คน หรือ ทุน 1 หน่วยสามารถผลิตสินค้าและบริการได้มากขึ้น
หรือคือมี ‘ผลิตภาพ’
หรือ ‘productivity’ มากขึ้น
แม้ว่าผลิตภาพของไทยส่วนหนึ่งจะได้รับผลกระทบจาก “วัฏจักรเศรษฐกิจ” ในระยะสั้น แต่ภาพในระยะยาวจากข้อมูลของ Penn World Table พบว่าผลิตภาพในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
KKP Research มองว่ามี 3 ปัจจัยที่ทำให้ผลิตภาพของไทยลดลง 1)
การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่มหรือผลิตภาพต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรม
2) คุณภาพของการศึกษาที่นำไปสู่ปัญหาคุณภาพแรงงาน และ 3) การขาดการลงทุน
ทั้งจากธุรกิจภายในประเทศและจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
และขาดนโยบายสนับสนุนนวัตกรรมและการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน
หากไม่มีการลงทุนที่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่สำคัญต่อเศรษฐกิจในอนาคตและทุนมนุษย์
คงเป็นไปได้ยากที่ผลิตภาพจะเพิ่มขึ้นจนสามารถชดเชยจำนวนแรงงานหรือทุนที่ลดลงไป
ปฏิรูป 4 ด้านยกระดับ GDP
KKP Research เสนอแนะว่ารัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปใน 4 ด้าน
เพื่อยกระดับศักยภาพ GDP อีกครั้ง ได้แก่
1)
เพิ่มผลิตภาพ ดึงดูดแรงงานทักษะสูง
โดยหากไทยจะสามารถกลับมาเนื้อหอมและดึงดูดการลงทุนได้อีกครั้ง
การปฏิรูปการศึกษาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพื่อเพิ่มแรงงานทักษะสูงที่จะมาพร้อมกับการลงทุนใหม่ ๆ นอกจากนี้ การทบทวนนโยบายนำเข้าแรงงานทักษะสูงจะต้องคิดใหม่
เพื่อให้สามารถดึงดูดแรงงานที่ประเทศไทยยังขาด
และที่สำคัญคือนโยบายส่งเสริมการแข่งขันและต่อด้านการผูกขาด
2)
การเปิดเสรีภาคบริการ
เนื่องจากเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดและมีผลต่อศักยภาพของเศรษฐกิจไทยที่สุด
โดยเฉพาะการส่งเสริมและเพิ่มการแข่งขันในภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายระเบียบข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคอื่น ๆ ในการทำธุรกิจ
3)
เพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตร
ภาคการเกษตรนับเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพต่ำสุด
แต่มีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจมากในแง่ของสัดส่วนแรงงาน
การเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตรและแรงงานในภาคเกษตร
และการเพิ่มมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร จะช่วยเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจไทยได้อีกมาก
4)
ปฏิรูปภาคการคลัง
ประเด็นนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับการยกระดับศักยภาพโดยตรง
แต่ความท้าทายของสังคมผู้สูงอายุย่อมนำไปสู่ความเสี่ยงทางด้านการคลังของประเทศโดยตรง
การที่ฐานภาษีที่อยู่ในระดับต่ำ (สัดส่วนรายได้ต่อ GDP อยู่ที่เพียงไม่ถึง 15%
ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหลายประเทศ)
และรายจ่ายด้านสาธารณสุขที่สูงขึ้นต่อเนื่อง
จึงเป็นไปได้ยากที่ภาครัฐจะสามารถลงทุนขนาดใหญ่เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยได้อย่างจริงจัง
หากไม่จัดการปัญหาด้านภาระทางการคลังเสียก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น