บทความทางกฎหมายโดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568

บทความทางกฎหมายโดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์




 บทความทางกฎหมายโดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

เรื่อง : ขับรถขณะเมาที่มีลักษณะไม่คำนึงถึงความปลอดภัย เสี่ยงถูกริบรถยนต์! บทลงโทษที่ผู้ขับขี่ควรรู้


ปัญหาการขับขี่รถที่ไร้ความรับผิดชอบ เช่น การขับรถโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนและความปลอดภัยของผู้อื่น และการขับรถขณะมึนเมา รวมถึง การขับรถเสพยาเสพติดให้โทษ ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก 

พฤติกรรมการขับขี่ที่เป็นปัญหา : 

(๑) ขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น

๑.๑ ขับรถในขณะมี ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดวัดได้ “เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์” สำหรับ:

- ผู้ขับขี่อายุต่ำกว่า 20 ปี

- ผู้มีใบขับขี่ชั่วคราว

- ผู้ไม่มีใบขับขี่

- ผู้อยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบขับขี่

๑.๒ ขับรถในขณะมี ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดวัดได้ “ เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์”  สำหรับบุคคลทั่วไป


(๒) :ขับรถโดย ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน และความปลอดภัยของผู้อื่น

การขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น : ความผิดฐานนี้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๘) และมีบทกำหนดโทษในมาตรา ๑๖๐ วรรคสาม โทษปรับตั้งแต่ ๕,๐๐๐ - ๒๐,๐๐๐บาท และอาจถูกจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ. นอกจากนี้ ผู้ขับขี่อาจถูกตัดคะแนนความประพฤติทันที ๔ คะแนน

เช่น การขับรถด้วยความเร็วสูง, การขับรถแซงซ้ายแซงขวา โดยไม่ให้สัญญาณ, ขับปาด / เบียดรถคันอื่นในระยะกระชั้นชิด, หรือ การแข่งขันรถแข่งขันประลองความเร็วบนถนน เป็นต้น

ทั้งการ “ ขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น”  และ “ การขับรถโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนและความปลอดภัย”  อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่น พฤติกรรมดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญบนท้องถนน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน และกระทบต่อความปลอดภัยทางถนนโดยรวม ถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรง ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อจัดการกับผู้กระทำผิด


การขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น :


- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย : โทษจำคุกตั้งแต่ ๑ – ๕ ปี และปรับ ตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ – ๑๐๐,๐๐๐ บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า ๑ ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต ขับขี่

- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส : โทษจำคุกตั้งแต่ ๒ – ๖ ปี และปรับ ตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ – ๑๒๐,๐๐๐ บาท และพักใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า ๑ ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต       ขับขี่

- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย : โทษจำคุกตั้งแต่ ๓ – ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๖๐,๐๐๐ – ๒๐๐,๐๐๐ บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

- หากทำผิดซ้ำภายใน ๒ ปี โทษจะหนักขึ้น เป็น จำคุกไม่เกิน ๒ ปี ปรับตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐ บาทถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาทและพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า ๑ ปีหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่


ส่วนความผิดฐาน “ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน หรือ ความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น โทษปรับตั้งแต่ ๕,๐๐๐ บาท  - ๒๐,๐๐๐ บาท และจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ( เดิมปรับตั้งแต่  ๒,๐๐๐ –๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)


แม้กฎหมายจะมีการแก้ไข โดยเพิ่มโทษให้หนักขึ้น แต่ความรุนแรงของผลกระทบจากพฤติกรรมการขับขี่ดังกล่าวยังไม่ลดน้อยถอยลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้นและเกิดความเสียหายต่อสังคมประชาชนผู้ใช้รถผู้ใช้ถนนจำนวนมาก  ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการยกระดับ “มาตรการทางกฎหมาย”  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้และป้องปรามการกระทำผิด 


 การขอให้ศาลมีคำสั่ง “ ริบรถยนต์”  ที่ใช้ในการกระทำความผิดฐานดังกล่าว พร้อมทั้งมาตรการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงเป็น “ความจำเป็นและเร่งด่วน” ที่ “ สำนักงานอัยการสูงสุด”  จะต้องมี           “ แนวทางและมาตรการดำเนินคดีของพนักงานอัยการ”  ในความผิดฐาน “ ขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่นและการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนและความปลอดภัยของผู้อื่น” ดังกล่าว เพื่อให้สังคมปลอดภัยจากผู้ขับขี่รถที่มีพฤติการณ์ดังกล่าว


มาตรการริบรถยนต์ : บทลงโทษที่เข้มข้นขึ้น


ในอดีตที่ผ่านมา มีกรณีที่ พนักงานอัยการบางส่วนมีความเห็นและคำสั่ง “ ไม่ขอให้ศาลสั่ง         ริบรถจักรยานยนต์ หรือรถอื่นใดของกลาง” ในคดีความผิดฐาน ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ โดยให้เหตุผลว่า “  รถของกลางมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓  (๑) แต่ต่อมา สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า 


“ การใช้ดุลยพินิจเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เนื่องจากรถของกลางดังกล่าว ศาลมีคำพิพากษาให้ริบได้ โดยอ้างอิงถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๐๐ / ๒๕๔๖ )

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินคดีประเภทนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้กำหนด แนวทางในการดำเนินคดี โดยให้พนักงานอัยการใช้ดุลยพินิจ “ ขอให้ศาลสั่งริบรถของกลาง” ที่เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดในคดีความผิดฐาน “ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ” ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา  ๔๓ (๘) , ๑๖๐ วรรคสาม 

ทั้งนี้ ตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดที่ อส ( สฝปผ.)  ๐๐๑๘/ ว. ๓๘๐ ลงวันที่  ๒๙ กันยายน ๒๕๔๙ 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในช่วงนั้น คือ  “ การขับรถแข่งขันกันบนถนนหลวงของกลุ่มเด็กและเยาวชนแล้วก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เฉี่ยวชนกันมีผู้เสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหายไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมแข่งขันและประชาชนผู้สัญจรไปมา” แต่รถยนต์/ รถจักรยานยนต์ที่กลุ่มเด็กและเยาวชนขับขี่แข่งขันบนท้องถนนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น กลับไม่ได้ถูกริบ โดย พนักงานอัยการ ไม่ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งริบ โดย “ใช้ดุลพินิจ” ไม่ขอให้ศาลสั่งริบ  และเมื่อไม่ได้ขอให้ศาลสั่ง ริบรถจักรยานยนต์ / รถยนต์ ก็จะถูกกลุ่มเด็กและเยาวชนเหล่านั้น นำกลับมาใช้ในการกระทำซ้ำผิดอีก

ดังนั้น สำนักงานอัยการสูงสุด จึงกำหนดแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เป็นมาตรการในการคุ้มครองสังคมให้ปลอดภัย


ต่อมา แนวทางนี้ ( ขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิด)  ได้ถูกนำมาใช้กับคดี         “ ขับรถขณะเมาสุรา” แล้วทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่นด้วยเช่นกัน โดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้กำหนด “ แนวทางปฏิบัติให้พนักงานอัยการพิจารณาขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด” ดังกล่าว

 ทั้งนี้ ตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดที่ อส ๐๐๐๗ (ปผ) / ว. ๑๙๗ ลงวันที่  ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ ดังนี้


 กำหนดแนวทางปฏิบัติกรณีพนักงานอัยการได้รับสำนวนคดีที่มีการดำเนินคดีกับผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่นไว้พิจารณา โดยให้พนักงานอัยการพิจารณาว่า

“ พฤติการณ์ในการขับรถขณะเมาสุราของผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.ศ. ๒๕๒๒๒ มาตรา ๔๓ (๘) ด้วยหรือไม่ ” 

หากพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาได้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดดังกล่าวด้วย และ ยังมิได้มีการแจ้งข้อหาดังกล่าวแก่ผู้ต้องหา

ให้พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวน “แจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติม” แก่ผู้ต้องหา 

และในการฟ้องคดี “ ให้พนักงานอัยการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลาง”  หากพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาได้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น”


ดังนั้น ผู้ขับขี่ที่กระทำความผิดฐาน “ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น” หรือ         “ ขับรถขณะเมาสุรา” แล้วก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินผู้อื่น ควรตระหนักว่า รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิดนั้น “ มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกศาลสั่งริบ”ได้


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๐๐/๒๕๔๖ : จุดเปลี่ยนสำคัญ

ดังที่กล่าวมาข้างต้น แนวทางการขอให้ศาลริบรถของกลางในคดีขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ นั้น อาศัยหลักการจากคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๔๒๐๐/๒๕๔๖  ว่า เป็นคำพิพากษาที่แสดงให้เห็นว่า “ รถของกลางในคดีขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ ศาลมีคำพิพากษาให้ริบได้”                คำพิพากษาฉบับนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดว่า “ รถที่ใช้ในการกระทำผิดดังกล่าวถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด”  ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติด้านการขอริบทรัพย์ของพนักงานอัยการในเวลาต่อมา และต่อมา แนวทางนี้ยังได้ถูกนำมาใช้เป็นหลักในการขอริบรถในคดีขับรถขณะเมาสุราแล้วทำให้เกิดอันตรายฯ ด้วย


มาตรการเสริมอื่นๆ นอกเหนือจากการริบรถ

นอกจากการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางแล้ว “พนักงานอัยการ” ยังมีแนวทางในการขอให้ศาลใช้มาตรการอื่นๆ เพื่อความปลอดภัยควบคู่ไปด้วย มาตรการเหล่านี้ ได้แก่:


- การเรียกประกันทัณฑ์บน: การขอให้ศาลกำหนดให้จำเลยวางเงินประกัน หรือให้มีผู้รับประกัน เพื่อเป็นหลักประกันว่าจำเลยจะไม่กระทำผิดซ้ำอีก

- การพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ยานพาหนะ : การขอให้ศาลมีคำสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย เพื่อป้องกันไม่ให้จำเลยกลับไปขับขี่และก่ออันตรายบนท้องถนนได้อีก

- การขอให้ศาลลงโทษในอัตราขั้นสูง : การขอให้ศาลใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษจำเลยในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

- การขอเพิ่มโทษ : ในกรณีที่จำเลยเคยกระทำความผิดในลักษณะคล้ายคลึงกันมาก่อน อาจมีการขอให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย

มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของ “ สำนักงานอัยการสูงสุด” ในการจัดการกับปัญหาการขับขี่ที่เป็นอันตราย โดยมุ่งหวังให้ผู้กระทำผิดได้รับบทลงโทษที่เหมาะสม และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายซ้ำเติมขึ้นอีก


บทสรุป “ การขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น และการขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย และ/หรือ ทรัพย์สินของผู้อื่น  ไม่ได้เพียงแต่ จะนำมาซึ่งโทษปรับหรือจำคุกเท่านั้น หากแต่ยังมีความเสี่ยงสูงที่ศาลจะสั่ง       “ ริบรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์” ที่ใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าว    ซึ่งเป็นผลมาจากแนวทางการดำเนินคดีที่เข้มข้นขึ้นของพนักงานอัยการ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๑) และหลักการตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๐๐ / ๒๕๔๖ รวมถึงมาตรการเสริมอื่นๆ เช่น การเรียกประกันทัณฑ์บน หรือการพัก/เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ เป็นต้น


ดังนั้น การไม่ขับขี่รถในขณะเมาสุรา การไม่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น รวมทั้งการไม่ขับรถโดยขาดความยั้งคิดเพียงชั่วขณะ ซึ่งอาจนำมาซึ่งความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่ขับขี่ อาจถูกศาลสั่งริบได้ หากนำไปใช้ในการกระทำความผิดร้ายแรงดังกล่าว 


นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ

(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน (คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน (สมัยที่ ๒๕) สภาผู้แทนราษฎร

๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad