TK Park พาเปิดบทเรียนอันทรงคุณค่า จาก “คุณหญิงกษมา วรวรรณฯ”กว่า 50 ปี บนเส้นทางการศึกษา กับบทบาทผู้ต่อจิ๊กซอว์ “การเรียนรู้” ให้สังคมไทย - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568

TK Park พาเปิดบทเรียนอันทรงคุณค่า จาก “คุณหญิงกษมา วรวรรณฯ”กว่า 50 ปี บนเส้นทางการศึกษา กับบทบาทผู้ต่อจิ๊กซอว์ “การเรียนรู้” ให้สังคมไทย

 


TK Park พาเปิดบทเรียนอันทรงคุณค่า จาก “คุณหญิงกษมา วรวรรณฯ”กว่า 50 ปี บนเส้นทางการศึกษา กับบทบาทผู้ต่อจิ๊กซอว์ “การเรียนรู้” ให้สังคมไทยพร้อมเจาะ “7 บทเรียนที่ต้องเรียนรู้” พาไทยสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ได้แบบไม่รู้จบ

หากย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ภาพจำของห้องสมุดในสายตาคนไทยมักเป็นพื้นที่เคร่งขรึม คร่ำเคร่ง และเป็นทางการ กระทั่งในปี 2548 การก่อตั้ง สถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park ได้กลายเป็น

จุดเปลี่ยนสำคัญ ด้วยแนวคิด “ห้องสมุดมีชีวิต” ที่เปลี่ยนห้องสมุดให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่สนุก สร้างสรรค์ และมีชีวิตชีวา ทั้งยังจุดประกายให้สังคมไทยเริ่มมองการเรียนรู้นอกห้องเรียนอย่างจริงจัง เพราะการเรียนรู้

ไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงในตำรา แต่ควรเป็นวัฒนธรรมของสังคม

และในภารกิจขยายภาพการเรียนรู้ให้ลึกและกว้างกว่าห้องเรียน หนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีบทบาทต่อเนื่องในการวางรากฐานทางความคิด คือ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ผลักดันนโยบายด้านการอ่านและการเรียนรู้ในระดับชาติอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งร่วมขับเคลื่อน

ให้แนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ให้เป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม และประชาชน

ทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม

            ในวาระครบรอบ 20 ปีของ “อุทยานการเรียนรู้ TK Park” ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการห้องสมุดไทย TK Park จัดตั้งรางวัล TK Park Awards เพื่อยกย่องบุคคล องค์กร และหน่วยงาน ที่มีบทบาทโดดเด่นในการสร้างวัฒนธรรมการอ่านและขับเคลื่อนสังคมแห่งการเรียนรู้

หนึ่งในรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดคือ Lifetime Achievement Award ที่มอบให้แก่ผู้ซึ่งอุทิศตน

เพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต และในปีนี้ ผู้ได้รับรางวัลในสาขานี้จำนวน 5 ท่าน ได้แก่

ศาสตราจารย์พิเศษ คุณหญิงแม้นมาส ชวลิต, ดร.พารณ อิสระเสนา ณ อยุธยา, ดร.สิริกร มณีรินทร์, ดร.ถนอมวงศ์ สุกโชติรัตน์ ล้ำยอดมรรคผล และ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา โดยแต่ละท่าน

ล้วนมีบทบาทสำคัญในระดับชาติ ในการขับเคลื่อนการเรียนรู้ให้เป็นรากฐานของสังคมไทย

TK Park จึงขอพาทุกท่านย้อนรอยเส้นทางความคิด ความเชื่อ และบทเรียนจากชีวิตของคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ผ่าน “7 บทเรียนที่ต้องเรียนรู้” ซึ่งอาจกลายเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดัน

ให้ประเทศไทยเดินหน้าไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน

จาก “ระบบราชการ” สู่ “ระบบความหวัง” – บทสนทนานี้ไม่เพียงเป็นการถอดประสบการณ์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่เชื่อในพลังของการเรียนรู้ได้ลุกขึ้นมาสานต่อภารกิจ เพื่ออนาคตของสังคมไทย

เพราะเติบโตมากับการอ่าน จึงเห็นคุณค่าของการเรียนรู้

คุณหญิงกษมาเติบโตในครอบครัวที่รักการอ่าน โดยมีคุณแม่อ่านหนังสือให้ฟังทุกคืนตั้งแต่วัยเด็ก

สิ่งนี้ได้หล่อหลอมให้มีนิสัยรักการอ่าน และกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เข้าใจถึงคุณค่าของการเรียนรู้

อย่างลึกซึ้ง เมื่อเข้าสู่การทำงานในกระทรวงศึกษาธิการ จึงเลือกทุ่มเทให้กับการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ ทั้งในเชิงนโยบาย การจัดโครงสร้าง และการลงมือผลักดันโครงการระดับชาติที่จับต้องได้

จากการได้ทำงานในโครงการแก้ไขการไม่รู้หนังสือแบบเบ็ดเสร็จ โครงการที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน การจัดตั้งศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนในภูมิภาค ไปจนถึงโครงการพัฒนาห้องสมุดประจำอำเภอ

ล้วนเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันให้เกิด “ห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี” ซึ่งเป็นพื้นที่เรียนรู้ของชุมชนที่มีบทบาทสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน

“ในสมัยนั้น การสร้างห้องสมุดประจำอำเภอต้องใช้งบสมทบจากท้องถิ่น ทำให้พื้นที่ห่างไกล

ซึ่งควรได้รับการพัฒนากลับไม่สามารถดำเนินการได้ ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ”

คุณหญิงเล่าย้อนถึงจุดตั้งต้นของแนวคิดที่เกิดขึ้นตรงกับวาระที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า

กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เจริญพระชนมายุ 36 พรรษา ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการขอ

พระราชานุญาตดำเนินโครงการห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ดำเนินการและเสด็จฯ ไปทรงเปิดห้องสมุดด้วยพระองค์เอง ทำให้โครงการได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

และสามารถขยายจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 38 แห่ง สู่ 108 แห่งในปัจจุบัน

แม้เมื่อเกษียณอายุราชการ ภารกิจด้านการเรียนรู้ยังไม่จบลง คุณหญิงกษมายังคงขับเคลื่อนงาน

ด้านการอ่านผ่านบทบาทประธานมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กในระยะเวลาหนึ่ง และการทำงานร่วมกับหลาย

ภาคส่วนในประเด็นการศึกษา ซึ่งล้วนสะท้อนเจตจำนงอย่างต่อเนื่องที่มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ให้เป็นส่วนหนึ่ง

ของชีวิตประชาชน

7 บทเรียนเพื่อขับเคลื่อนสังคมแห่งการเรียนรู้

จากประสบการณ์กว่า 50 ปีในแวดวงการศึกษา ทำให้คุณหญิงมองเห็นทั้งอุปสรรค โอกาส และช่องว่างที่ยังต้องได้รับการเติมเต็ม ในโอกาสพิเศษนี้ จึงได้ถ่ายทอด 7 แนวทางสำคัญ ที่จะช่วยปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง และผลักดันประเทศไทยไปสู่ “สังคมแห่งการเรียนรู้” อย่างแท้จริง

นโยบายต้องต่อเนื่อง – ไม่ขาดตอน

“นโยบายการเรียนรู้ต้องต่อเนื่องและนานพอที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม”

หนึ่งในอุปสรรคสำคัญ คือการเปลี่ยนผ่านของผู้บริหารนโยบาย ซึ่งมักส่งผลให้โครงการดี ๆ ถูกยกเลิกหรือหยุดชะงัก เช่น โครงการ “วางทุกงาน อ่านทุกคน” ที่เคยสร้างแรงกระเพื่อมในโรงเรียนแต่ระยะหลังแผ่วลง เพราะขาดการกระตุ้นเชิงนโยบาย ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องวางระบบเพื่อให้การขับเคลื่อนการเรียนรู้

มีความต่อเนื่องในระยะยาว

บรรณารักษ์ยังสำคัญ – ต้องเพียงพอและทันยุค

“บรรณารักษ์ต้องเพียงพอ พร้อมปรับบทบาทให้ทันยุคสมัย”

ห้องสมุดหลายแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ยังขาดแคลนบรรณารักษ์ หรือต้องพึ่งพาอาสาสมัคร

ที่ขาดทักษะเฉพาะทาง จึงจำเป็นต้องผลักดันให้บรรณารักษ์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างในสถานศึกษา

อย่างเป็นระบบ และพร้อมกันนั้น บรรณารักษ์เองก็ต้องปรับบทบาทสู่การเป็น “ครูการเรียนรู้” ที่สามารถออกแบบกิจกรรมได้อย่างสร้างสรรค์และเชื่อมโยงกับบริบทของชุมชน

ใช้เทคโนโลยี – เพิ่มโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ

“ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียม”

เทคโนโลยีไม่ควรถูกมองว่าเป็นทางเลือก แต่ต้องเป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้ทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้สะดวกขึ้น เช่น แอปพลิเคชันการเรียนรู้สำหรับเด็ก หนังสือดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัย หรือช่องทางออนไลน์ที่เข้าถึงได้ในพื้นที่ห่างไกล แม้แต่แพลตฟอร์มอย่าง Netflix หากใช้ให้ถูกวิธีก็สามารถเป็น

แรงบันดาลใจทางการศึกษาได้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีจะมีคุณค่าเมื่อใช้อย่างรู้เท่าทัน ครูจึงต้องมีบทบาท

ในการชี้แนะการใช้อย่างสร้างสรรค์ ปลอดภัย และนำไปสู่การเรียนรู้ที่ยั่งยืน

ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

“หัวใจสำคัญของการเรียนรู้ ต้องเริ่มจากความสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ”


การส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ต้องเริ่มจากการเข้าใจแรงจูงใจของผู้เรียน และเชื่อมโยงเนื้อหากับชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ความใฝ่รู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนรู้สึกว่า “สิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับเขา” ไม่ใช่เพราะ

ต้องเรียน ตัวอย่างเช่น กลุ่มแม่บ้านที่ไม่อ่านหนังสือทั่วไป แต่สนใจตำราทำอาหาร หรือเด็กที่อาจไม่ชอบหนังสือวิชาการ แต่สนุกกับการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีผ่านสื่อภาพและวิดีโอ

แม้แต่การเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่าเรื่องของชุมชนตัวเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยปลูกฝังทักษะการอ่านและเขียนอย่างเป็นธรรมชาติ และยังส่งเสริมให้พวกเขาเกิด

ความภาคภูมิใจในสิ่งที่ได้เรียนรู้และถ่ายทอด

ห้องสมุดต้องตอบสนองความต้องการของชุมชน

“การพัฒนาห้องสมุดในท้องถิ่น ต้องเริ่มจากเข้าใจความต้องการของชุมชน”

บริบทของห้องสมุดแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน ความต้องการและศักยภาพของชุมชนในแต่ละพื้นที่

ก็แตกต่างกันเช่นกัน บางแห่งมีทรัพยากรพร้อมแต่ขาดการสนับสนุน บางแห่งมีความตั้งใจแต่ไม่มีงบประมาณ หรือบางพื้นที่มีความต้องการใช้งานห้องสมุด แต่ยังไม่มีพื้นที่หรือกิจกรรมที่ตอบโจทย์ผู้ใช้

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ปัญหาไม่ใช่ “คนไม่อ่านหนังสือ” แต่เป็นเพราะ “ห้องสมุดยังไม่ตอบโจทย์”

การพัฒนาห้องสมุดจึงต้องเริ่มจากการฟังและเข้าใจว่า ชุมชนต้องการอะไร ยังขาดอะไร และจะสามารถสนับสนุนเขาอย่างเหมาะสมได้อย่างไร

เปลี่ยนแนวคิด ห้องสมุด ≠ ที่เก็บหนังสือ

“ห้องสมุดยุคใหม่ต้องไม่ใช่แค่ที่เก็บหนังสือ แต่ต้องเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่มีชีวิต”

บทบาทของห้องสมุดในศตวรรษที่ 21 ต้องเปลี่ยนไปจากเดิม ต้องเปิดกว้าง รองรับความต้องการของผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม และเป็นพื้นที่แห่งการมีส่วนร่วม เช่น ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยศิลปากรที่จัดพื้นที่สำหรับบอร์ดเกม ซึ่งกลายเป็นพื้นที่สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนต่างวัยต่างภูมิหลัง

แนวคิดเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าห้องสมุดสามารถเป็น “จุดเริ่มต้นของบทสนทนาและความรู้” ไม่ใช่เพียงสถานที่เก็บหนังสือ แต่เป็นศูนย์กลางของผู้คน ความคิด และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

การปลูกฝังวัฒนธรรมการอ่าน ควรเริ่มตั้งแต่เด็ก

“การปลูกฝังวัฒนธรรมการอ่านควรเริ่มต้นในครอบครัว”

โดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย ก่อนเด็กจะเริ่มพูด การมีหนังสือเล่มแรกที่พ่อแม่อ่านให้ฟัง จะช่วยสร้าง

คลังคำในสมอง เสริมจินตนาการ และวางรากฐานนิสัยรักการเรียนรู้ในระยะยาว

เมื่อเด็กโตขึ้น พ่อแม่ควรชี้แนะแนวทางในการเลือกหนังสือ โดยไม่ห้ามการอ่านเพื่อความบันเทิง

แต่เสริมด้วยหนังสือที่มีเนื้อหาลึกซึ้งและเหมาะสมกับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย เพื่อให้การอ่านกลายเป็นทักษะติดตัวที่เติบโตไปพร้อมกับตัวเด็ก

ก่อนจบบทสนทนา: วัยเกษียณไม่ใช่จุดสิ้นสุด

ก่อนจบบทสนทนา คุณหญิงกษมาได้กล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อ TK Park และรางวัลที่ได้รับ

ด้วยมุมมองที่เปิดกว้างและสะท้อนถึงบทบาทของผู้สูงวัยในสังคมอย่างลึกซึ้ง

“รู้สึกชื่นชม TK Park ที่มอบรางวัลให้แก่ผู้ที่เกษียณอายุไปนานแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวัยเกษียณไม่ใช่จุดสิ้นสุดของบทบาทในสังคม ตรงกันข้าม กลับเป็นช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัย

ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนาน หากได้รับโอกาสและพื้นที่ในการแสดงออก ก็ยังสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังได้ การมอบรางวัลในลักษณะนี้

จึงไม่เพียงเป็นการให้เกียรติ แต่ยังเป็นการตอกย้ำว่า “ทุกช่วงวัยมีคุณค่า” และ “การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad