บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP ส่งสัญญาณผลงานครึ่งปีหลังโตแกร่ง หลังออเดอร์ลูกค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแบบครบวงจร ฟากผู้บริหาร “เสกสรร ครองพาณิชย์” ระบุพร้อมรุกหนักตลาดต่างประเทศ รองรับดีมานด์ขยายตัว มั่นใจหนุนรายได้ปี 67 โต 15-20% ตามเป้าหมาย
นายเสกสรร ครองพาณิชย์
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) (PSP) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจรที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมากว่า
35 ปี ในการพัฒนาและผลิตน้ำมันหล่อลื่น (Lubricant) จาระบี (Grease) และผลิตภัณฑ์พิเศษ
(Specialty products) เปิดเผยว่า
แนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 2567 คาดว่าผลงานจะโตต่อเนื่อง
โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณการขายทั้งใน และต่างประเทศ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ด้วยการใช้กลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศด้วยบริการแบบครบวงจรและการให้บริการมาตรฐานระดับสากล
ซึ่งดีมานด์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์หล่อลื่นยังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของภาคยานยนต์และอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ บริษัท ฯ ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งผลให้มีอัตรากำไรสูงขึ้น และ สามารถลดอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) มาอยู่ที่ระดับ
1.05 เท่า จาก 1.15 เท่า ในสิ้นปี 2566 ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังพัฒนาและเตรียมจำหน่ายผลิตภัณฑ์พิเศษ
อาทิ ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร น้ำยาหล่อเย็นแบตเตอรี่
น้ำยาบำบัดไอเสีย (AdBlue) ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ดีเซลตามมาตรฐาน EURO 5
ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร และเพิ่มอัตราการทำกำไรให้สูงขึ้น
ซึ่งจะช่วยผลักดันให้รายได้ปี 2567 สามารถเติบโต 15-20% ตามเป้าหมายที่วางไว้
นายโชติธนินท์ เต็มศิริพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 3,411 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,971 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 143 ล้านบาท
ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 2567
บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4%
เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 6,047
ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 385 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.0%
เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 185 ล้านบาท
“ผลประกอบการที่เติบโตขึ้น เป็นผลมาจาก
บริษัท ฯ มีปริมาณการขายที่สูงขึ้น ทั้งจากลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ ในทุกผลิตภัณฑ์
รวมทั้งการขยายตลาดการส่งออกไปยังประเทศกลุ่มใหม่ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทในเครือ
และการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ” นายโชติธนินท์
กล่าวในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น