นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเสนอมุมมองปัญหาและแนวทางการปฏิรูปประชาธิปไตยในวาระวันแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ไว้อย่างน่าสนใจใน
เฟสบุ้ควันนี้โดยมีใจความดังต่อไปนี้
“รำลึก 24 มิถุนายนสู่การปฏิรูป
:ประชาธิปไตยที่ยังไปไม่ถึงไหน?”
โดย อลงกรณ์ พลบุตร
ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.
อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
“หากไม่เริ่มปฏิรูปตั้งแต่ตอนนี้ ประเทศไทยอาจยังคงติดอยู่ในวังวนของความขัดแย้งและความล้มเหลวทางการเมือง“
วันที่ 24 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยคณะราษฎรได้ก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในปี 2475
นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่นำมาสู่รัฐธรรมนูญฉบับแรก และการวางรากฐานใหม่ของการเมืองการปกครอง
แต่ผ่านมากว่า 92 ปี ประเทศไทยยังคงตั้งคำถามกับความหมายที่แท้จริงของ "ประชาธิปไตย"ที่ดูเหมือนใกล้แค่เอื้อม แต่กลับเดินทางไปไม่ถึงไหนยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์มีรัฐธรรมนูญมากถึง 20 ฉบับ แต่ละฉบับถูกเขียนขึ้นและล้มล้างโดยกลุ่มอำนาจที่ผลัดกันขึ้นมาเป็นใหญ่ โดยมีรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ 2490, 2500, 2514, 2519, 2534, 2549, 2557 จนถึงปัจจุบัน ประชาธิปไตยไทยเหมือนต้นไม้ที่เติบโตไม่เต็มที่โดยถูกตัดรากถอนโคนทุกครั้งที่เริ่มผลิดอกออกใบ ด้วยสาเหตุต่างๆดังนี้
1. รัฐประหารกับวัฒนธรรมอำนาจนิยมประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีรัฐประหารบ่อยที่สุดในโลก ทุกครั้งที่ทหารยึดอำนาจ คำอ้างมักเหมือนเดิม: "แก้ไขความขัดแย้ง" หรือ "นำความสงบกลับคืน" แต่ผลลัพธ์กลับยิ่งทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังเข้าคลอง
2. รัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบให้อ่อนแอ
รัฐธรรมนูญหลายฉบับถูกเขียนขึ้นเพื่อสกัดกั้นนักการเมืองพลเรือน และเปิดช่องให้สถาบันอื่นเข้ามาควบคุมการเมือง เช่น ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง หรือกลไกที่ให้ทหารมีบทบาทในสภา ทำให้หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตคือการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมถูกบิดเบือน
3. ประชาชนยังถูกกีดกันจากการกำหนดอนาคต
แม้จะผ่านมาเกือบศตวรรษ แต่เสียงของประชาชนยังถูกมองว่า "อันตราย" เมื่อไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจ การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่าถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรง เช่นเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519, พฤษภาทมิฬ 2535
คำถามสำคัญในวันครบรอบ 24 มิถุนายน คือ เราจะก้าวข้ามวงจรอุบาทว์นี้อย่างไร?
24 มิถุนายน 2475 เริ่มต้นด้วยความหวัง แต่กว่าหนึ่งศตวรรษผ่านไป ความหวังนั้นยังคงถูกทดสอบ ประชาธิปไตยไทยอาจยัง "ไปไม่ถึงไหน" แต่ทุกก้าวที่เดินต่อไปของประชาชนคือการทวงถามถึงสิทธิที่ควรได้มา และอาจเป็นแสงสว่างที่ค่อย ๆ นำทางให้พ้นจากทางตันนี้ในที่สุด การพัฒนาประชาธิปไตยให้แข็งแรงและยั่งยืนไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากต้องปฏิรูปประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบจริงจังและต่อเนื่อง
1.สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แท้จริง
ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งทุก 4 ปี แต่คือวิถีชีวิตที่ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกมิติของสังคม
1.1ส่งเสริมการศึกษาที่เน้นความเป็นพลเมือง
ระบบการศึกษาควรปลูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบและหลักการประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับเด็กเยาวชนโดยไม่ใช่เพียงการท่องจำ และไม่ใช่แค่การสอนเรื่องระบบรัฐสภา แต่คือการเคารพในความแตกต่างและสิทธิของผู้อื่น
1.2ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ
ความขัดแย้งทางการเมืองไทยส่วนหนึ่งเกิดจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาส การสร้างความเป็นธรรมในสังคมจะช่วยลดความแตกแยกและทำให้การเมืองไม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
2. ปฏิรูปโครงสร้างการเมืองและกฎหมาย
สถาบันการเมืองต้องทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
2.1ยกเลิกกลไกที่บั่นทอนประชาธิปไตย
เช่น ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง หรือกลไกพิเศษที่ให้อำนาจกับองค์กรที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญควรถูกออกแบบเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ใช่เพื่อสกัดกั้นอำนาจของตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง
2.2กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
การให้ชุมชนและท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจเรื่องของตนเองมากขึ้น จะช่วยลดการผูกขาดอำนาจโดยส่วนกลาง และทำให้การเมืองใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น
3. เสริมสร้างกลไกตรวจสอบและถ่วงดุล
อำนาจที่ไร้การตรวจสอบจะนำไปสู่การทุจริตและละเมิดสิทธิ
3.1ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้เป็นอิสระและเป็นกลาง
ระบบตุลาการต้องไม่ถูกแทรกแซงโดยอำนาจการเมืองและต้องทำงานบนหลักนิติธรรมไม่ใช่นิติอำนาจ
3.2สื่อเสรีและสังคมวิชาการที่เข้มแข็ง
สื่อมวลชนและสถาบันการศึกษาต้องมีอิสระในการวิพากษ์วิจารณ์และเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ถูกคุกคามจากรัฐหรือกลุ่มอิทธิพล
4. สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง
ประชาธิปไตยจะแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อประชาชนมีช่องทางในการแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
4.1เปิดพื้นที่สาธารณะสำหรับการถกแถลงแลกเปลี่ยนเชิงนโยบาย
รัฐควรสนับสนุนการจัดเวทีสาธารณะที่ประชาชนสามารถเสนอความคิดเห็นต่อนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้ที่มักถูกกีดกันจากกระบวนการตัดสินใจ
4.2ใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยทางตรง
แพลตฟอร์มดิจิทัลสามารถเป็นเครื่องมือให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอกฎหมายหรือติดตามผลงานของรัฐบาล เช่น ระบบ e-Petition หรือการลงประชามติออนไลน์ในประเด็นสำคัญ
5. ยุติวงจรรัฐประหาร
การยึดอำนาจโดยกองทัพหรือกลุ่มอำนาจนอกระบบเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการพัฒนาประชาธิปไตย
6.การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมกระบวนการเลือกตั้งต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรม ขจัดการซื้อเสียงขายสิทธิ์ เพื่อสะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
บทสรุป:
เกือบหนึ่งศตวรรษนับแต่ 24 มิถุนายน 2475 ประชาธิปไตยไทยยังคงเดินทางอย่างลุ่มๆ ดอนๆ แนวทางข้างต้นอาจดูเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่หากไม่เริ่มปฏิรูปตั้งแต่ตอนนี้ ประเทศไทยอาจยังคงติดอยู่ในวังวนของความขัดแย้งและความล้มเหลวทางการเมือง
ประชาธิปไตยไม่ใช่ระบบที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนกำหนดชะตากรรมของตนเองได้มากที่สุด
ในวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ เราอาจต้องย้อนถามตัวเองว่า...เราพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าร่วมกันแล้วหรือยัง?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น