ลอรีอัล กรุ๊ป มุ่งมั่นขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และพลังสตรี ส่งเสริมบทบาทนักวิทยาศาสตร์หญิงสู่การเปลี่ยนแปลงโลก ประกาศมอบทุนเชิดชูเกียรติ 4 นักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ลอรีอัล กรุ๊ป มุ่งมั่นขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และพลังสตรี ส่งเสริมบทบาทนักวิทยาศาสตร์หญิงสู่การเปลี่ยนแปลงโลก ประกาศมอบทุนเชิดชูเกียรติ 4 นักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568

 


นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา และ นางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ ลอรีอัล (ประเทศไทยจำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับ นักวิจัยสตรีผู้ได้รับทุนในโครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 (จากซ้ายไปขวารศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.รงรอง เจียเจริญ นักวิจัยชำนาญการ จากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ  พร้อมด้วย ดร.มัตถกา คงขาว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ

 

กรุงเทพฯ 12 พฤศจิกายน 2568 – ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย ในฐานะองค์กรด้านความงามชั้นนำของโลก ประกาศสนับสนุนบทบาทนักวิจัยสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 ด้วยการมอบทุนวิจัยมูลค่า 250,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณ ให้กับนักวิจัยสตรี ท่านผู้ได้รับทุนในโครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ประจำปี 2568 โดยมุ่งสนับสนุนบทบาทของนักวิจัยสตรี พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงรุ่นใหม่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ ผู้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการวิทยาศาสตร์ไทยทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และความยั่งยืน อันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของลอรีอัลซึ่งมุ่งสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ผ่านการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่มีศักยภาพในการสร้างคุณปการให้กับสังคมในอนาคต ควบคู่กับการสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทและผลงานของนักวิจัยสตรี และผลักดันสังคมสู่ความเท่าเทียมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

 

นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา กล่าวว่า “ลอรีอัล กรุ๊ป เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในพลังของวิทยาศาสตร์เพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการขับเคลื่อนโลก เราจึงให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาในหลายมิติ พร้อมกันนี้ เรายังยึดมั่นในพันธกิจด้านการเสริมสร้างศักยภาพสตรี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตที่เท่าเทียมและก้าวหน้า ในระดับโลกนั้น นักวิทยาศาตร์สตรีมีเพียงจำนวน 1 ใน 3  แต่สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระบุว่ามีสัดส่วนของผู้หญิงอยู่ในแวดวงวิทยาศาสตร์หรือสายงาน STEM เฉลี่ยสูงถึง 45% ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่โดดเด่นในเวทีโลก ตัวเลขดังกล่าวได้พิสูจน์แล้วว่าบทบาทสตรีและความเท่าเทียมทางเพศในแวดวงวิทยาศาสตร์นั้นเป็นจริงได้ นับเป็นแบบอย่างที่จะส่งต่อแรงบันดาลใจและจุดประกายความหวังให้กับสตรีทั่วโลก เพราะเราเชื่อว่าโลกต้องการวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรี ลอรีอัลจึงเดินหน้าเชิดชูเกียรติผลงานวิจัยอันโดดเด่นของสตรีผ่านโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” อย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 23 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงรุ่นใหม่ที่ต้องการเติบโตในสายงานวิทยาศาสตร์ และแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าผู้หญิงทุกคนสามารถเปล่งประกายได้ในแบบของตนเอง”

 

งานประกาศมอบทุนเชิดชูเกียรตินักวิทยาศาสตร์สตรีทั้ง ท่าน จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่พร้อมพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการนวัตกรรมความงาม “INNOFEST 2025” นำเสนอความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์ บริการความงาม Beauty Tech รวมถึงเผยข้อมูล L'Oréal Longevity Integrative Science™ ศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพเพื่อชีวิตที่ยืนยาวแบบบูรณาการเอกสิทธิ์เฉพาะของลอรีอัล กรุ๊ป ซึ่งมาจากการวิจัยด้าน Longevity มานานกว่า 15 ปี เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ เพื่อชะลอความเสื่อมอายุเซลล์ผิว และมีสร้างแผนที่ชีวภาพสำหรับผิวครั้งแรกที่เรียกว่า Longevity AL Cloud™ ที่สามารถวิเคราะห์ปัจจัยบ่งชี้ต่างๆ และวิถีชีวภาพเพื่อการคาดการณ์ผลลัพธ์ของส่วนผสมที่มีต่อ 9 ปัจจัยบ่งชี้สำคัญของการเกิดริ้วรอยแห่งวัย สำหรับการสร้างโซลูชันความงามเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อผิวอ่อนเยาว์ ผ่านการผสานความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้ด้วยกัน ตามเป้าหมายในการสร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลก

 

ทุนวิจัยฯ 4 ทุน มอบแก่นักวิจัยสตรี ท่าน ใน 2 สาขา

สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จำนวน ท่าน

  1. ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาวัคซีนต้นแบบและแพลตฟอร์มพื้นฐานการวิจัย เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรอย่างยั่งยืนในประเทศไทย”
  2. ดร.มัตถกา คงขาว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับงานวิจัยหัวข้อ “อนุภาคนาโนดัดแปลงพื้นผิวนำส่งยาแบบมุ่งเป้าสำหรับการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง”

 

สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จำนวน 2 ท่าน

  1. รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาคอนกรีตคาร์บอนต่ำจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างที่ยั่งยืน”
  2. ดร.รงรอง เจียเจริญ นักวิจัยชำนาญการ จากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง ต้นทุนต่ำ และแบตเตอรี่ปลอดภัย ผ่านวัสดุยั่งยืนและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและสังคมคาร์บอนเป็นศูนย์”

 

นักวิจัยสตรีผู้มีผลงานอันโดดเด่นที่ได้รับทุนโครงการฯ ประจำปี 2568

 

ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทยมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ประเทศไทยยังขาดทั้งวัคซีนและเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นในการรับมือและพัฒนามาตรการควบคุมโรค งานวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีพื้นฐานที่สำคัญเพื่อสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพภายในประเทศ ในส่วนของการพัฒนาวัคซีน พบว่า วัคซีนต้นแบบ ASF ชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ มีศักยภาพสูงสุดในการป้องกันโรค โดยได้มีการทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้าน ผลการศึกษาเบื้องต้นชี้ว่า วัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70–100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการควบคุมโรค ASF เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมสุกรและคืนอาชีพให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ นอกเหนือจากการพัฒนาวัคซีน เรายังได้สร้างเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่เป็นรากฐานสำหรับการวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การพัฒนา recombinant ASFV virus (ASFV001_mChNLuc) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อให้เป็นเสมือนห้องทดลองขนาดเล็กสำหรับศึกษากลไกของไวรัสและเร่งกระบวนการคัดกรองยาหรือพัฒนาวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว การพัฒนาเซลล์ไลน์จากมาโครฟาจและเซลล์ไตสุกร เพื่อรองรับการเพาะแยกเชื้อไวรัส ASF และใช้ในการผลิตวัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในระดับขยายขนาด รวมถึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษากลไกภูมิคุ้มกันและการตอบสนองต่อการติดเชื้อของไวรัสในระดับเซลล์ ในระยะยาว องค์ความรู้และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาวัคซีนสัตว์และยาต้านไวรัสอื่นๆ ได้ด้วยตนเองในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางชีวภาพและยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้พร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน”

 

ดร.มัตถกา คงขาว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น มะเร็ง โรคสมองเสื่อม เบาหวาน ไขมันและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่า 70% ของอัตราการเสียชีวิตทั่วโลก ในประเทศไทยเองพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่า 75% ของอัตราการเสียชีวิตต่อปี อีกทั้งประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรับมือกับกลุ่มโรค NCDs งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนาโนมาพัฒนาระบบนำส่งที่สามารถดัดแปลงพื้นผิว (surface-modified lipid nanocarriers) เพื่อช่วยนำส่งยาไปสู่เป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง ควบคุมการปลดปล่อยยา เพิ่มเสถียรภาพของสารสำคัญ นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการขยายขนาดการผลิตอนุภาคนาโนไขมันในระดับ Pilot Scale ทดสอบประสิทธิภาพและความเป็นพิษของอนุภาคนาโนไขมันที่พัฒนาได้ในระดับหลอดทดลอง เช่น ทดสอบประสิทธิภาพการชะลอหรือรักษาโรคอย่างการลดไขมัน ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องการตายของเซลล์ประสาทหรือเซลล์สมอง เป็นต้น รวมถึงทดสอบเภสัชจลนศาสตร์ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง เช่น การยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก การลดระดับตัวบ่งชี้การอักเสบในระบบประสาท การลดไขมันและน้ำตาลในเลือด เป็นต้น เป้าหมายสูงสุดของงานวิจัยนี้ไม่เพียงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษากลุ่มโรค NCDs และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างแพลตฟอร์มเทคโนโลยีพื้นฐานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การแพทย์แม่นยำของประเทศ ซึ่งองค์ความรู้นี้สามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางของไทย อันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขให้กับประเทศอย่างยั่งยืน"

 

รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายคู่ขนานระหว่างปัญหาสิ่งแวดล้อมจากวัสดุเหลือทิ้งและการเดินหน้าสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30–40 ภายในปี พ.ศ. 2573 และบรรลุ Net Zero Emission ภายในปี พ.ศ. 2608 ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาการเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่า โดยยึดหลักการสำคัญคือการพัฒนา คอนกรีตคาร์บอนต่ำจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรม โครงการนี้ใช้เถ้าชีวมวลซึ่งอุดมด้วยซิลิกาและอะลูมินา มาสังเคราะห์เป็น จีโอพอลิเมอร์คอนกรีต” ซึ่งเป็นคอนกรีตที่ไม่ต้องพึ่งพาปูนซีเมนต์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังศึกษาการบูรณาการเศษหินแกรนิตแทนทรายธรรมชาติ และใช้พลาสติกรีไซเคิลเพื่อลดการใช้มวลรวมจากแหล่งธรรมชาติ เป็นแนวทางที่ช่วยแก้ปัญหาขยะและลดการใช้ทรัพยากรไปพร้อมกัน กระบวนการวิจัยครอบคลุมการประเมินคุณสมบัติของวัสดุอย่างรอบด้าน ทั้งด้านความสามารถในการรับแรง ความทนทาน และการวิเคราะห์โครงสร้างจุลภาค ผลลัพธ์ยืนยันว่าคอนกรีตที่พัฒนาขึ้นมีสมบัติทางวิศวกรรมที่เหมาะสมและมีศักยภาพต่อการใช้งานจริง งานวิจัยนี้ไม่เพียงสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้านวัสดุก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน แต่ยังนำเสนอแนวทางจัดการของเสียจากภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ การนำผลงานวิจัยไปประยุกต์ใช้จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและ Net Zero Emission ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

 

ดร.รงรอง เจียเจริญ นักวิจัยชำนาญการ จากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กล่าวว่า "สืบเนื่องจากความท้าทายด้านสภาวะโลกร้อน ปัจจุบันประเทศไทยยังคงประสบปัญหาด้านความมั่นคงทางพลังงาน งานวิจัยนี้จึงมุ่งบุกเบิกเทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านวัสดุยั่งยืนและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีหลักการสำคัญคือการพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดเพอรอฟสไกต์ที่มีประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา และโค้งงอได้ รวมถึงแบตเตอรี่ของแข็งที่ปลอดภัยและเก็บประจุได้มาก วิธีการวิจัยตั้งอยู่บนพื้นฐานของวัสดุศาสตร์และวิศวกรรม โดยมุ่งเน้นการสังเคราะห์และออกแบบวัสดุใหม่จากวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในประเทศหรือจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์พลังงาน สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ มีการพัฒนาสูตรหมึกและกระบวนการเคลือบฟิล์มเพอรอฟสไกต์ให้มีคุณภาพสูงและมีเสถียรภาพที่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นรากฐานสำหรับการขยายขนาดสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม ในขณะที่แบตเตอรี่จะมุ่งเน้นการใช้วัสดุทางเลือกที่ปลอดภัยและต้นทุนต่ำ เช่น สังกะสีและเหล็ก และต่อยอดไปยังแบตเตอรี่ชนิดของแข็งหรือกึ่งแข็ง (semi-solid state battery) โดยใช้วัสดุธรรมชาติเป็นพอลิเมอร์อิเล็กทรอไลต์คอมโพสิตเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพ งานวิจัยชิ้นนี้จะไม่เพียงสร้างองค์ความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีพลังงาน แต่ยังสามารถสร้างต้นแบบอุปกรณ์ที่สามารถนำไปต่อยอดใช้งานได้ นอกจากนี้ ยังบูรณาการเทคโนโลยีทั้งสองผ่านแพลตฟอร์มเพื่อใช้งานจริงในครัวเรือนและชุมชน พร้อมทดสอบความเสถียรและประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมต่างๆ  ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงพลังงานสะอาด ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ตามเป้าหมายของประเทศ อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม"

 

ทั้งนี้ โครงการทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” หรือ For Women in Science ริเริ่มขึ้นในปี 2541 โดย มูลนิธิลอรีอัล ด้วยความร่วมมือจากยูเนสโก แต่ละปีได้สนับสนุนนักวิจัยสตรีรุ่นใหม่มากกว่า 250 ท่าน ในโครงการระดับประเทศและระดับภูมิภาคทั่วโลก และได้มอบทุนเกียรติยศระดับนานาชาติแก่นักวิจัยสตรีระดับ Laureates ไปแล้วมากกว่า 100 ท่าน ซึ่งมีถึง 7 ท่าน ที่ก้าวสู่ความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบล สำหรับในประเทศไทย โครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” มอบทุนวิจัยทุนละ 250,000 บาท ให้กับนักวิจัยสตรีที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย ได้ดำเนินงานโครงการมาเป็นปีที่ 23 โดยมีนักวิจัยสตรีไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 91 ท่าน จากกว่า 20 สถาบันในประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad