มจธ.-ญี่ปุ่น ร่วมพัฒนามาตรฐานสำรวจโพรงใต้ดินฉบับแรกของไทย ยกระดับความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

มจธ.-ญี่ปุ่น ร่วมพัฒนามาตรฐานสำรวจโพรงใต้ดินฉบับแรกของไทย ยกระดับความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี


 ภาพหลุมยุบขนาดใหญ่บริเวณใจกลางกรุงเทพฯ ยังเป็นภาพจำที่หลายคนตื่นตระหนก จนเกิดคำถามสำคัญว่านี่คืออุบัติเหตุเฉพาะจุด หรือคือสัญญาณเตือนถึงปัญหาระดับโครงสร้างภายใต้พื้นดินทั่วกรุงเทพมหานคร คำตอบกำลังถูกเปิดเผยด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ จากความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยภาควิชาวิศวกรรมโยธา และ Ehime University ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนำมาสู่การเผยแพร่ "มาตรฐานการสำรวจโพรงใต้ดินฉบับแรกของประเทศไทย" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนการรับมือจาก 'การซ่อมหลังถล่ม' (Reactive Maintenance) ไปสู่ 'การป้องกันเชิงรุก' (Predictive Maintenance) ด้วยข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

ท่ามกลางความตื่นตระหนกจากเหตุการณ์หลุมยุบ ศาสตราจารย์ วรัช ก้องกิจกุล จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา มจธ. หัวหน้าทีมวิจัยไทย-ญี่ปุ่น ได้ให้มุมมองที่ช่วยลดความหวาดกลัวว่า "โพรงใต้ดิน” เป็นความปกติที่ป้องกันได้  โพรงใต้ดินมักเกิดจากการเสื่อมสภาพของโครงสร้างสาธารณูปโภคใต้ดิน เช่น ท่อระบายน้ำหรือท่อประปาที่แตกร้าว รั่วซึม หรือมีรอยต่อไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะบริเวณรอยต่อที่ชำรุดเมื่อใช้งานเป็นเวลานาน"


กลไกนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เป็นดินเหนียวอ่อนซึ่งไวต่อการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำใต้ดินตามฤดูกาลและปริมาณฝน ทำให้เกิดการไหลเวียนของน้ำใต้ดินอยู่เสมอ อีกทั้งการถมทรายรองรอบท่อระบายน้ำยิ่งทำให้บริเวณดังกล่าวถูกพัดพาได้ง่ายเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำในช่วงน้ำหลากหรือน้ำแล้ง ส่งผลให้มวลดินไหลไปพร้อมกับน้ำ ขณะเดียวกันแรงสั่นสะเทือนจากการจราจร โดยเฉพาะรถบรรทุกหนัก ทำให้รอยต่อ ระหว่างท่อ และระหว่างท่อกับแมนโฮล ชำรุดจนเกิดรอยรั่ว น้ำใต้ดินจึงพัดพาทรายและดินอ่อนเข้าสู่ท่อ ทำให้โพรงก่อตัวและขยายตัวจนพัฒนาเป็นหลุมยุบได้ในที่สุด ซึ่งเป็นปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องจัดการอย่างเป็นระบบ และหากสามารถตรวจพบตำแหน่งและขนาดของโพรงได้ล่วงหน้า ก็จะซ่อมแซมได้ก่อนเกิดความเสียหายรุนแรง


เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ทีมวิจัยได้นำใช้เทคโนโลยี GMS3 (GPR Mobile Mapping System 3D) จากญี่ปุ่น ซึ่งเปรียบเสมือน "ดวงตา" ที่สามารถมองทะลุพื้นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยมี Professor Jun Shinohara และ Professor Mitsumasa Yamashina จาก Ehime University เป็นผู้เชี่ยวชาญในการถ่ายทอดองค์ความรู้นี้ หัวใจสำคัญของ GMS3 คือ การผสานระบบเรดาร์สำรวจใต้ดิน (GPR) เข้ากับระบบทำแผนที่เคลื่อนที่ (MMS) ที่ใช้เทคโนโลยีภาพ 360 องศาเพื่อเสริมความแม่นยำในการกำหนดตำแหน่งของโพรงใต้ดิน

Professor Jun Shinohara อธิบายว่าเทคโนโลยี GMS3 คือ นวัตกรรมใหม่ของการสำรวจถนนและโพรงใต้ดิน เพราะสามารถเก็บข้อมูลได้รวดเร็ด้วยความเร็วในการวิ่งสำรวจสูงถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ไม่ต้องปิดถนนหรือรบกวนการจราจรนานเหมือนในอดีต อีกทั้งยังมีความแม่นยำในระดับเซนติเมตร โดยอาศัยเทคโนโลยี Camera Vector (CV) ช่วยแก้ไขข้อมูลดาวเทียม (GNSS) ทำให้ตรวจจับตำแหน่งโพรงใต้ดินได้อย่างเที่ยงตรงแม้ในพื้นที่อับสัญญาณ เช่น ใต้ทางด่วนหรือระหว่างตึกสูง ที่สำคัญคือการวิ่งสำรวจเพียงครั้งเดียว GMS3 จะเก็บข้อมูลทั้งผิวถนนและโครงสร้างใต้ดินไปพร้อมกัน ทำให้ได้ข้อมูลครบถ้วนพร้อมสำหรับการวิเคราะห์ วางแผนซ่อมบำรุง และป้องกันปัญหาเชิงระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ


แม้เทคโนโลยีจะพร้อมใช้งานแล้ว แต่ความท้าทายสำคัญคือการพัฒนาเกณฑ์ประเมินความเสี่ยงการเกิดหลุมยุบจากข้อมูลโพรงที่สำรวจพบ โดย “เส้นผ่านศูนย์กลางของโพรง (D)” และ “ความลึกจากผิวถนนถึงส่วนบนสุดของโพรง (Hc)” ซึ่งได้จากการสำรวจด้วย GPR เป็นตัวแปรหลักที่ใช้ทั้งในญี่ปุ่นและไทย อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของโครงสร้างถนนและสภาพชั้นดินระหว่างสองประเทศ ญี่ปุ่นใช้ถนนผิวทางแอสฟัลท์ ในขณะที่ไทยใช้ถนนผิวทางคอนกรีต ทำให้ไม่สามารถนำเกณฑ์ญี่ปุ่นมาใช้โดยตรงได้ ทีมวิจัย มจธ. จึงพัฒนาเกณฑ์ใหม่ที่เหมาะกับถนนคอนกรีตของไทย ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการและการวิเคราะห์ด้วยแบบจำลอง FEM เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการยุบตัวของผิวถนนเมื่อมีโพรงอยู่ด้านล่าง โดยยังคงใช้ตัวแปร และ Hc ที่ได้จาก GPR เช่นเดิม แต่กำหนดเกณฑ์ใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพโครงสร้างถนนของไทย โดยเฉพาะในกรณีโพรงตื้นซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญ ศ.ดร.วรัช อธิบายว่า หากโพรงมีขนาดเท่ากัน ความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับความลึกจากผิวถนน เช่น โพรงกว้าง 50 เซนติเมตรเหมือนกันแต่ลึก 80 เซนติเมตรยังมีโครงสร้างชั้นทางช่วยรับน้ำหนัก ทำให้โอกาสยุบตัวน้อยกว่า แต่หากโพรงเดียวกันอยู่ตื้นเพียง 20 เซนติเมตร ความหนาของชั้นโครงสร้างชั้นทางที่เหลืออยู่จะลดลงจนไม่สามารถถ่ายแรงลงสู่ดินฐานรากได้อย่างมั่นคง ทำให้ผิวคอนกรีตเสี่ยงแตกร้าวและยุบตัวทันทีเมื่อมีรถวิ่งผ่าน ดังนั้น หากขนาดโพรงเท่ากัน โพรงที่ตื้นกว่าย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่า

Professor Mitsumasa Yamashina เล่าว่า การสำรวจถนนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วยรถสำรวจ GMS3 ระยะทางกว่า 338 กิโลเมตร พบจุดต้องสงสัยว่าเป็นโพรงมากถึง 313 จุด หรือเฉลี่ยประมาณ โพรงต่อระยะทางสำรวจ กิโลเมตร ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับผลการสำรวจ GPR ในญี่ปุ่นเช่นกัน การพัฒนา “มาตรฐานการสำรวจโพรงใต้ดินฉบับแรกของประเทศไทย” จึงเป็นก้าวสำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานหลักอย่าง กรุงเทพมหานคร กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จะได้ร่วมกันพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากประสบการณ์จริง เพื่อให้เกิดมาตรฐานการสำรวจโพรงด้วย GPR และเกณฑ์ประเมินความเสี่ยงการเกิดหลุมยุบที่เป็นแนวทางเดียวกัน ช่วยให้สามารถจัดลำดับถนนที่ต้องซ่อมแซมเร่งด่วนได้อย่างเป็นระบบและแม่นยำมากขึ้น.

ศ.ดร.วรัช เปรียบการสำรวจโพรงใต้ดินว่าเป็นเสมือน “การทำประกันสุขภาพ” ให้ถนน เพราะเป็นการลงทุนล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต แทนที่จะรอให้ถนนยุบหรือถล่มแล้วค่อยซ่อม ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าอย่างมาก ระยะต่อไปคือการนำข้อมูลจากรถสำรวจ GMS3 มาพัฒนา “แผนที่ความเสี่ยงโพรงใต้ดิน” ทั่วประเทศ เพื่อให้หน่วยงานสามารถจัดลำดับพื้นที่เร่งด่วนและใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าและแม่นยำ ความร่วมมือไทย–ญี่ปุ่นครั้งนี้จึงไม่เพียงยกระดับเทคโนโลยี แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความปลอดภัยของระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพราะความเสียหายจากหลุมยุบอาจประเมินค่าไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad