MUIC เปิดผลสำรวจตลาดแรงงาน 90%ต้องการจ้างคนมีทักษะAI - 93%สื่อสารภาษาอังกฤษได้

แนะ 7 แนวทางสถาบันศึกษาปั้นคนให้ตรงกับตลาดแรงงาน พร้อมเปิด 5 อาชีพมาแรงแห่งยุค - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568

MUIC เปิดผลสำรวจตลาดแรงงาน 90%ต้องการจ้างคนมีทักษะAI - 93%สื่อสารภาษาอังกฤษได้

แนะ 7 แนวทางสถาบันศึกษาปั้นคนให้ตรงกับตลาดแรงงาน พร้อมเปิด 5 อาชีพมาแรงแห่งยุค

 


(12 ธันวาคม 2568) วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดผลสำรวจผู้ประกอบการ “Annual Graduate Employer Survey 2025” จากองค์กรชั้นนำ ครอบคลุมภาคเอกชน ภาครัฐ และอาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตศึกษาต่อต่างประเทศนำ ควบคู่กับผลสำรวจความคิดเห็นบัณฑิตที่จบการศึกษาในปี 2025 พบ 3 เทรนด์ใหญ่ที่ตลาดแรงงานแห่งอนาคตต้องการ ประกอบด้วย  นายจ้าง 93% ให้ความสำคัญกับทักษะ การสื่อสารภาษาอังกฤษ’ สูงสุด และ 90% ต้องการคนที่เข้าใจและสามารถใช้ ‘AI และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ได้’ โดย 75% ชี้ว่า ความพร้อมทำงานจริงในปีแรก’ สำคัญกว่าเกรด และ 60% กังวลบัณฑิตใหม่ขาดทักษะการจัดการด้านอารมณ์ (emotional intelligence) และสื่อสารในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง พร้อมเสนอ “7 แนวทางปรับตัวของสถาบันการศึกษา” เปิด 5 สายอาชีพดาวรุ่ง พร้อมนำร่องปรับ 17 หลักสูตรปั้นบัณฑิตตอบโจทย์ทันที

 


ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา โฉมฉาย คณบดี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (
MUIC) เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Annual Graduate Employer Survey 2025 ซึ่งรวบรวมความคิดเห็นจากบัณฑิตจำนวน 412 คน ควบคู่กับผู้ประกอบการ และผู้ว่าจ้าง จากองค์กรชั้นนำจำนวน 63 แห่งครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ธุรกิจบริการ โรงแรมการให้คำปรึกษาเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ รวมถึงผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ ตลอดจนอาจารย์ที่ปรึกษาของบัณฑิตที่ศึกษาต่อในต่างประเทศ ทั้งสองชุดข้อมูลสะท้อนเทรนด์ความต้องการแรงงานในอนาคต โดยนายจ้างในประเทศไทยให้ความสำคัญกับทักษะหลัก 3 ด้าน ซึ่งจะเป็น หัวใจของความพร้อมในการทำงาน” ได้แก่

(1) ทักษะการสื่อสารในระดับนานาชาติ (Global Communication)

(2) ความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยี AI และดิจิทัล (AI & Digital Literacy)

(3) ความพร้อมในการทำงานจริงและการปรับตัวในสภาพแวดล้อมการทำงาน (Workplace Readiness)

 

โดยผลสำรวจพบว่า 93% ของนายจ้าง ระบุว่า ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่สอง เป็นทักษะสำคัญที่สุดในการจ้างงานโดยเฉพาะในองค์กรที่ทำธุรกิจในระดับภูมิภาคและนานาชาติ ต้องการบุคลากรที่สามารถ เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสามารถสื่อสารอย่างมั่นใจในระดับมืออาชีพ และมีความเคารพในความต่างทางวัฒนธรรม แนวโน้มนี้ชี้ชัดว่า ในปี 2569 มหาวิทยาลัยควรปรับการเรียนการสอนภาษาให้สอดคล้องกับบริบทการทำงานจริง เช่น การนำเสนอ การเจรจา และการทำงานในทีมข้ามวัฒนธรรม Cross Culture)

 

ในขณะผลสำรวจยังพบอีกว่า 90% ของนายจ้าง คาดหวังให้พนักงานมีความเข้าใจและสามารถใช้ เครื่องมือ AI ใน การวิเคราะห์ข้อมูล และระบบการทำงานแบบดิจิทัล ได้อย่างคล่องแคล่ว ทักษะเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะสายเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น ทักษะพื้นฐานของทุกสายอาชีพ ตั้งแต่การตลาด ธุรกิจ ไปจนถึงการบริการ เพราะ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในทุกวัน คนที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลและข้อมูลได้ดีจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาคการศึกษาไทยต้องเร่งบูรณาการ ความรู้ด้าน AI และ Data Literacy ในทุกหลักสูตร พร้อมส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม

 

ขณะเดียวกันพบว่ามากกว่า 75% ของนายจ้าง ระบุว่า ความสามารถในการปรับตัวและลงมือทำงานได้จริงในปีแรก เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการประเมินศักยภาพของบัณฑิต มากกว่าผลการเรียนหรือวุฒิการศึกษา นายจ้างจำนวนมากต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ ฝึกงาน โครงงานจริง หรือการเรียนรู้จากสถานการณ์ในภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันนายจ้างยังมองว่าความมั่นใจและความฉลาดทางอารมณ์เป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งพัฒนา แม้ว่านายจ้างส่วนใหญ่พึงพอใจกับคุณธรรมและการทำงานเป็นทีมของบัณฑิต

 

แต่กว่า 60% พบว่าผู้จบการศึกษายังขาด ความมั่นใจในการสื่อสารและการจัดการอารมณ์ในสถานการณ์กดดัน” นายจ้างมองว่าทักษะด้านจิตใจและอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานในยุคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เนื่องจากทักษะทางเทคนิคทำให้ได้งาน แต่ความฉลาดทางอารมณ์คือสิ่งที่ทำให้คนเติบโตในงาน”  สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับ การพัฒนา Soft Skills เช่น ความมั่นใจ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ และความฉลาดทางสังคม เพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง 



 

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าวต่อว่า MUIC ได้สรุป 7 แนวทางสำคัญที่สถาบันการศึกษาไทยควรปรับตัวทันที ได้แก่

1.           AI & Data Literacy for All: ฝังทักษะ AI และ Data Analysis ลงในทุกหลักสูตร ไม่จำกัดเฉพาะสายไอที

2.             Work Integrated Learning (WIL): ผนวกการฝึกงานและเคสจริงจากองค์กร เพื่อลดช่องว่าง เรียนจบแต่ทำงานไม่เป็น




3.           Global Communication Bootcamp: เน้น "ภาษางาน" (Business Language) ที่ใช้ทำงานจริง เช่น ภาษาเพื่อการนำเสนอภาษาเพื่อการเจรจาการเขียนอีเมลธุรกิจ และการทำงานในทีมข้ามวัฒนธรรม (Cross-cultural Communication



4.            Critical Thinking Studio: จัดเวิร์กช็อปแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เช่น Case-based Analysis, Decision Tree & Hypothesis-driven Thinking เพื่อลดปัญหา คิดไม่เป็น ตัดสินใจไม่ชัด

5.              Emotional Resilience & Professional Etiquette: ฝึกการทำงานภายใต้แรงกดดันและความเป็นมืออาชีพ เพื่อเพิ่มวุฒิภาวะ 



6.           Career Tracks & Micro-Credentials: ออกแบบเส้นทางทักษะ (Skill Mapping) และใบรับรองทักษะเฉพาะทาง (Micro-Credential Certificates) ที่นายจ้างสามารถเข้าใจ เช่น Data–AI Track, Cybersecurity Track, Digital Hospitality Track, HealthTech Track และ ESG/Sustainability Track

7.            Language as an Economic Skill: ปรับวิชาภาษาให้เป็น "วิชาทักษะทำงาน" ไม่ใช่เพื่อสอบเท่านั้น แต่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารในงานจริง การสรุปงาน การเจรจา และการนำเสนอ  



 

ทั้งนี้ MUIC ได้ทำการวิเคราะห์จากข้อมูลข้างต้น และมีข้อสรุปออกมาว่า 5 กลุ่มสายอาชีพที่จะเติบโตสูงใน 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ 1. ดิจิทัล – ข้อมูล – AI เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูลวิศวกรข้อมูลผู้เชี่ยวชาญด้าน Prompt/Automation   2.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ / การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านดิจิทัล (Digital Compliance) เช่น นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ผู้เชี่ยวชาญด้าน GRC (Governance, Risk & Compliance)/Privacy 3. การท่องเที่ยวบริการเชิงคุณภาพแบบดิจิทัล เช่น การตลาดดิจิทัลในธุรกิจโรงแรมการออกแบบประสบการณ์ (Experience Design) ให้ผู้เข้าพักประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ  4. การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เน้นการป้องกันและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน (Healthcare and Wellness) โดยใช้ AI และ เครื่องมือดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพรายบุคคลการสื่อสารด้านสุขภาพเฉพาะกลุ่ม และ 5. การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจและสังคมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น (Green transformationเช่น นักวิเคราะห์และจัดทำรายงานประเมินด้านความยั่งยืนหรือ ESG (Environment, Social & Governance)การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน)





เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว MUIC ได้นำร่องปรับหลักสูตรใหม่ 17 สาขา ครอบคลุมทั้งสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี บริหารธุรกิจ และศิลปศาสตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปั้นบัณฑิตให้ 'พร้อมทำงานจริง(Workplace Readiness) เราได้บูรณาการทักษะจำเป็นแห่งยุค AI และดิจิทัลเข้าไปในหลักสูตร และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านระบบ I-Design Elective ที่นักศึกษาสามารถเลือกเรียนวิชาเสริมเพื่อสร้างทักษะเฉพาะตัว เรามั่นใจว่าบัณฑิตที่จบจากหลักสูตรใหม่นี้จะตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานแห่งอนาคต ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าวทิ้งท้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad