สรท. วอนรัฐเอาจริงแก้ปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์ระหว่างประเทศพุ่ง - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2563

สรท. วอนรัฐเอาจริงแก้ปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์ระหว่างประเทศพุ่ง


นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) แถลงข่าวร่วมกับนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธาน และนางจินตนา ศิริสันธนะ เลขาธิการ ณ ห้องประชุม 1 สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ชั้น 32 อาคารลุมพินีทาวเวอร์ เมื่อวันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 เวลา 10.30-12.00 น. ระบุการส่งออกเดือนกรกฎาคม 2563 มีมูลค่า 18,819 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว -11.37% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การส่งออกในรูปเงินบาทเท่ากับ 579,654 ล้านบาท หดตัว -11.61% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้าในเดือนกรกฎาคม 2563 มีมูลค่า 15,476 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว -26.38 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) และการนำเข้าในรูปของเงินบาทมีมูลค่า 483,309 ล้านบาท หดตัว -26.59% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ เดือนกรกฎาคม 2563 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 3,343 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 96,344 ล้านบาท (การส่งออกเมื่อหักทองคำ น้ำมันและอาวุธยุทธปัจจัย เดือนกรกฎาคมการส่งออกหดตัวร้อยละ -12.97)

ขณะที่ ภาพรวมช่วงเดือนม.ค.- ก.ค. ปี 2563 ไทยส่งออกรวมมูลค่า 133,162 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว -7.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็นมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทที่ 4,141,982 ล้านบาท หดตัว -8.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 119,118 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว -14.69 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า 3,752,485 ล้านบาท หดตัว -15.81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ช่วงเดือน ม.ค.- ก.ค. 2563 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 14,044 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 389,496 ล้านบาท (การส่งออกเมื่อหักทองคำและน้ำมันน้ำมันและอาวุธยุทธปัจจัย เดือนม.ค. – ก.ค. การส่งออกขยายตัวร้อยละ -9.02)

การส่งออกในเดือนกรกฎาคม กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวที่ -10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) โดย สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดีอยู่ คือ อาหารสัตว์เลี้ยง น้ำมันปาล์ม ทูน่ากระป๋อง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง แต่สินค้ากลุ่มที่หดตัวคือ ยางพารา น้ำตาลทราย ข้าว กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป ขณะที่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวที่ -10.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) โดย กลุ่มสินค้าที่มีการขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ทองคำ ขณะที่สินค้ากลุ่มที่หดตัว อาทิ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 

ทั้งนี้ สรท. คงคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 หดตัว -10% (ณ กันยายน 2563) บนสมมติฐานค่าเงิน 31.5 (+-0.5) บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 3 กันยายน 2563 = 31.341 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.00 – 31.57 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญ คือ การส่งออกสินค้ากลุ่มอาหาร (อาหารกระป๋อง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง) และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับ work from home ยังคงขยายตัวได้ดี จากอานิสงค์ของการระบาดโควิด-19 ในบางพื้นที่ 

ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ 1) สถานการณ์การระบาดโควิด-19 หลายประเทศทั่วโลกที่ยังคงมีความรุนแรง อาทิ สหรัฐที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกลับมาระบาดครั้งใหม่ในหลายประเทศ อาทิ นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย เป็นต้น ทำให้มีการเริ่มกลับมาใช้มาตรการเข้มงวดอีกครั้ง ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มประเทศดังกล่าว 2) ทิศทางการนำเข้าหดตัวลง แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการส่งออก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการผลิตและส่งออกโดยใช้วัตถุดิบและสินค้าที่มีอยู่เดิม ประกอบกับความเชื่อมั่นในตลาดโลกที่ยังไม่ดีนัก ทำให้การผลิตต่ำกว่าระดับประหยัดต่อขนาดของการผลิตซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทสูงขึ้นจนไม่สามารถแข่งขันได้และอาจส่งผลให้บริษัทที่สายป่านไม่ยาวพอต้องปิดกิจการได้ อาทิ กลุ่มยานยนต์และสิ่งทอ 3) ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในทิศทางที่แข็งค่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐที่ยังคงมีแนวโน้มตึงเครียดในหลายประเด็นต่อเนื่อง อาทิ การเจรจาความตกลงระยะที่ 1 ยังไม่มีความคืบหน้า และผลจากการอ่อนค่าของดอลลาร์โดยเปรียบเทียบกับค่าเงินบาทจากความไม่แน่นอนของการออกงบประมาณช่วยเหลือโควิด-19 จากรัฐบาลกลางสหรัฐ 4) ระดับราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ระดับต่ำกว่าปี 2562 มากกว่าร้อยละ 30 อันเนื่องมาจากผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการชะลอของอุปสงค์การใช้น้ำมันทั่วโลก ทำให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ พลาสติก เคมีภัณฑ์ และน้ำมันสำเร็จรูปยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง 5) ปัญหาภัยแล้ง ดังจะเห็นได้จากปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก อาทิ เขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์-แควน้อยฯ-ป่าสัก ที่มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ส่งผลต่อคุณภาพและอุปทานของสินค้าเกษตรที่อาจไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก อาทิ กลุ่มสินค้าข้าวและอ้อย เป็นต้น และ 6) ปัญหาด้านโลจิสติกส์ในประเทศและระหว่างประเทศ อาทิ ค่าใช้จ่ายการขนส่งสินค้าทางทะเลที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะเส้นทางทรานส์แปซิฟิกและเส้นทางยุโรป เนื่องด้วยการประกาศขึ้นค่าระวาง รวมถึงการจัดระวางขนส่งและตู้สินค้าจากสายเรือไปยังเจ้าของสินค้าจากจีนและเวียดนามในสัดส่วนที่ค่อนข้างมากจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับจัดสรรระวางและตู้สินค้าไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่าจะมีการเสนอราคาค่าระวางที่ค่อนข้างสูงแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการกระจายสินค้าข้ามชาติ อีกทั้งผู้ประกอบการได้รับส่วนต่างกำไรจากคำสั่งซื้อลดลงเนื่องด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้รัฐ “เร่งแก้ปัญหาด้านโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าที่สำคัญ” อาทิ 1) ขอให้แก้ไขความสูงของรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์สำหรับบรรจุสิ่งของขนาด High Cube (HC)  และรถบรรทุกรถยนต์ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 18 เป็น 4.6 เมตร 2) เร่งรัดการทำสัญญาสัมปทานสถานีบรรจุและคัดแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดีลาดกระบัง) ตลอดจนเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง ไอซีดีลาดกระบัง และ SRTO ให้การบริการรับส่งสินค้าในรูปแบบตู้สินค้า ในการขนส่งอย่างมีความต่อเนื่อง และปรับปรุงอสังหาริมทรัพย์ บำรุงรักษาพื้นที่ภายในโครงการ ลงทุนจัดหาเครื่องจักร อุปกรณ์ แรงงาน และสาธารณูปโภค ให้มีความพร้อมสำหรับรองรับปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้น 3) ขอให้เลื่อนการบังคับใช้ประกาศการท่าเรือฯ เรื่องกำหนดอัตราค่าภาระของเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ  A) ท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 และ ประกาศการท่าเรือฯ เรื่องให้เรือชายฝั่งที่รับตู้สินค้าขาเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบังดำเนินการ บรรทุกตู้สินค้าลงเรือ (Loading Container) ณ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2563 และกำหนดนโยบายลดต้นทุนการขนส่งชายฝั่งให้สามารถแข่งขันกับการขนส่งรูปแบบอื่น 4) ขอให้พิจารณายกเว้นการเรียกเก็บค่า Cargo Dues สำหรับเรือ Barge ที่ขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ขาเข้า ระหว่างท่าเรือแหลมฉบัง ผ่านร่องน้ำสันดอนเจ้าพระยาเข้าไปขนถ่าย หรือส่งมอบ ณ ท่าเรือเอกชน หรือท่าเรืออนุญาตที่ตั้งอยู่ในบริเวณอาณาเขตท่าเรือกรุงเทพ และขอให้พิจารณาหลักเกณฑ์ในการจัดกลุ่มประเภทของสินค้าที่ต้องชำระค่า Cargo Dues และกำหนดอัตราเรียก เก็บสำหรับสินค้าแต่ละกลุ่มให้สอดคล้องกับสัดส่วนต้นทุนของสินค้าเพื่อลดต้นทุนการนำเข้าและการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในประเทศและการส่งออก 5) ขอแก้ไขเงื่อนเวลาตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 102, 103 เรื่องถ่ายลำ ผ่านแดน ให้ของถ่ายลำหรือผ่านแดนสามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นเวลา 60 วัน และขอให้แก้ไขบทลงโทษให้สินค้าที่ไม่สามารถส่งออกจากราชอาณาจักรภายในระยะเวลาที่กำหนดเป็นของตกค้างตามกฎหมายศุลกากรแทนการตกเป็นของแผ่นดิน

6) ข้อเสนอแนะต่อ “การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง” เพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการภายใต้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับยกระดับประสิทธิภาพโลจิสติกส์ แบ่งเป็น (6.1) ทางบก อาทิ โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า โครงการศูนย์การขนส่งชายแดน และโครงการพัฒนาสถานีขนส่งสินค้าภูมิภาค (6.2) ทางเรือ อาทิ โครงการพัฒนาเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการขนส่งทางน้ำ โครงการพัฒนา Port Community System (PCS) โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 โครงการศึกษาทบทวนโครงสร้างรายการค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการขนส่ง ทางทะเลและอัตราค่าธรรมเนียม อาทิ ค่า Terminal Handling Charge (THC) รวมถึงใช้อำนาจตาม พระราชบัญญัติ ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในการกำกับกำหนดให้ค่าบริการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศทั้งระบบเป็นบริการควบคุมและดูแลมิให้มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผล (6.3) ทางราง อาทิ เร่งรัดการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น -หนองคาย โครงการก่อสร้างสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง แห่งที่ 2 (ICD 2) (6.4) ทางอากาศ อาทิ การเตรียมความพร้อมเครื่องมือในการตรวจเอ็กซเรย์สินค้าในท่าอากาศยานนานาชาติให้สอดคล้องกับมาตรการ Air Cargo Security 2021 โดย International Civil Aviation Organization (ICAO) รวมถึงการจัดหาเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศ (Freighter) เพื่อให้บริการประจำเส้นทางและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด (6.5) อื่นๆ อาทิ โครงการศึกษาสำรวจความต้องการการเดินทาง (Travel Demand Survey) และปรับปรุงฐานข้อมูลการเคลื่อนย้ายสินค้า เพื่อการวางแผนระบบขนส่งของประเทศ และการส่งเสริมการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) ให้เป็น Single Submission อย่างสมบูรณ์.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad