·
กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรม
เผยสาเหตุสมุนไพรไทยยังไม่เป็นแชมป์ในเวทีโลก เหตุเน้นการส่งออกในรูปแบบพืชสมุนไพร
ขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี พัฒนาสินค้าสมุนไพรไปสู่สารสกัด
ที่สร้างมูลค่าสูงกว่าพืชสมุนไพรถึง 4 เท่า
·
ล่าสุดผนึกกำลังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาควิชาการ หน่วยงานรับรองมาตรฐาน
พร้อมภาคเอกชน 15 แห่ง ร่วมระดมแนวคิด สู่มติร่วมในการยกระดับสมุนไพรไทยสู่การสกัดสมุนไพรมาตรฐาน
GMP เริ่มจากสมุนไพรสำหรับคนและสัตว์ 4 รายการ เช่น กระชายดำ ขมิ้นชัน กัญชง และ กระท่อม
เป็นจุดคานงัดสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ได้ภายใน 1 – 2 ปี
·
ด้าน สกสว. เผย
ไทยเป็นหนึ่งในอาเซียนด้านการวิจัยและพัฒนาที่ได้รับมาตรฐานจากนานาประเทศ
มีการสนับสนุนงบประมาณวิจัยด้านสมุนไพรมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมร่วมภาคเอกชนใช้จุดแข็งหนุนอุตฯสมุนไพรไทยผงาดเวทีโลก
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าเมื่อปลายเดือน ก.ย. 2567 ที่ผ่านมากลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร ส.อ.ท. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พร้อมทั้ง สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร สมาคมสหอุตสาหกรรมพืชกัญชงและกัญชา สมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกว่า 15 ราย ร่วมระดมสมองในหัวข้อ “จุดคานงัดการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม” เพื่อหาแนวทางการขับเคลื่อนสมุนไพรไทยและยกระดับโรงงานสารสกัดสมุนไพรไทยให้มีองค์ความรู้ สามารถสกัดสมุนไพรได้หลากหลายชนิดอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันสู่ตลาดต่างประเทศ
ผลจากการระดมสมองมีมติในความร่วมมือพัฒนาโรงงานสกัดสมุนไพร
สู่การใช้สารสกัดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และการยกระดับมาตรฐานโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ได้มาตรฐาน GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานส่งออกระดับสากล
โดยมุ่งเป้ากลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับคนและสัตว์ 4 รายการ
ที่เป็นจุดคานงัดและสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ใน 1-2 ปี
ได้แก่ กระชายดำ ขมิ้นชัน กัญชง และ กระท่อม นอกจากนี้ ยังมีการต่อยอดประเด็น
future food เช่น และ functional food หรือ
พืชที่ให้พลังงานและโปรตีนสูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากไข่น้ำ
ซึ่งสามารถต่อยอดสู่อาหารทางการแพทย์ได้อีกด้วย
“ตลาดสมุนไพรทั่วโลกในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 14 ล้านล้านบาท ในขณะที่มูลค่าการตลาดของไทยในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ทั้งนี้หากเทียบกับประเทศในเขตเอเชียตะวันออกไทยก็ยังเป็นรอง จีน ญี่ปุ่น
และเกาหลี อย่างไรก็ดี สาเหตุที่มูลค่าการตลาดของไทยยังเป็นรองประเทศเหล่านี้เนื่องจากสินค้าสมุนไพรไทยส่วนใหญ่จะส่งออกในรูปของพืชสมุนไพร
ขณะที่ต่างชาติส่งออกในรูปของสารสกัด เช่น ประเทศไทยส่งออกกระชายดำไปยังจีน
แล้วจีนได้นำกระชายดำไปสกัดให้เหลือแต่สารสำคัญ แล้วส่งออกเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่าพืชสมุนไพรถึง
4 เท่า” นายสิทธิชัยกล่าว
รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่าประเทศไทยมีพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพสูงแต่ยังขาดการส่งเสริมด้านการวิจัยเพื่อต่อยอด
ธุรกิจสมุนไพรของไทยจึงยังคงอยู่ที่ธุรกิจต้นน้ำ ส่วนธุรกิจกลางน้ำเช่น
การลงทุนด้านโรงงานสกัด จะอยู่ในมือของต่างชาติ เช่นเดียวกับธุรกิจปลายน้ำ
ที่อยู่ในมือต่างชาติ เป็นหลัก เช่นกัน ดังนั้น สกสว.
จึงได้เข้าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน
เพื่อผนึกกำลังและต่อยอดให้สามารถยกระดับสมุนไพรไทย ซึ่งเป็นของดีของคนไทย
ให้สร้างมูลค่าให้คนไทย ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
โดยเป้าหมายความร่วมมือครั้งนี้ถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการสมุนไพรไทย
ที่ไม่เพียงแต่ผลักดันให้เกิดมูลค่าเพิ่มเป็นสารสกัด
แต่ในอนาคตจะต่อยอดไปสู่การเข้าตำรับยา ซึ่งในหน่วยงานที่ร่วมมือกันในครั้งนี้ มีองค์ความรู้อย่างครบถ้วนในการวิจัยและพัฒนาที่ได้รับมาตรฐานจากนานาประเทศในการทดสอบการใช้ยาในคนและสัตว์
ซึ่งประเทศไทยถือว่ามีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในอาเซียน จึงควรนำจุดแข็งที่มีอยู่มาต่อยอดและพัฒนาพืชสมุนไพรของไทยให้เติบโตในระดับโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น