รายงานล่าสุดของแคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจ เมื่อพบว่าเหตุการณ์อันตรายทางไซเบอร์ที่เกิดจากเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์อยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 (เมษายน - มิถุนายน) แคสเปอร์สกี้ตรวจพบเหตุการณ์โจมตี 196,078 ครั้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นมากถึง 203.48% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ซึ่งพบเหตุการณ์ 64,609 ครั้ง
และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรายไตรมาส ในไตรมาสที่ 2 (เมษายน - มิถุนายน) ของปี 2024 ตรวจพบเหตุการณ์ทางไซเบอร์ 196,078 ครั้ง ซึ่งสูงกว่าไตรมาสที่ 1 (มกราคม - มีนาคม) ที่พบเหตุการณ์ 157,935 ครั้งมากถึง 24.15%
ผู้ก่อภัยคุกคามใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ถูกโจมตีเพื่อโฮสต์เว็บไซต์ที่ใช้ส่งมัลแวร์ไปยังผู้ใช้ที่ไม่ทันระมัดระวัง
และถูกล่อลวงไปยังเว็บไซต์อันตรายผ่านโฆษณาปลอม ลิงก์ฟิชชิงในอีเมล SMS และวิธีอื่นๆ หลังจากนั้นผู้ก่อภัยคุกคามจะสำรวจคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ของเหยื่อเพื่อหาช่องโหว่และการรั่วไหล
เมื่อผู้ใช้ประสบพบเจอกับภัยคุกคามออนไลน์ดังกล่าว โซลูชันของ แคสเปอร์สกี้จะตรวจจับและบล็อกภัยคุกคามนั้น
และยังค้นหาและบันทึกแหล่งที่มาของภัยคุกคามนั้นด้วย
ในปี 2566 ภัยคุกคามไซเบอร์ของไทยเพิ่มขึ้น 114.25% จากปีก่อน โดยกลุ่มที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีมากที่สุดคือหน่วยงานด้านการศึกษา
(632
ครั้ง) รองลงมาคือหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ (461 ครั้ง)
ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และบริษัทเอกชน (148 ครั้ง) และการเงินการธนาคาร
(148 ครั้ง) ภัยคุกคามที่พบบ่อยที่สุดในปี 2566 คือ การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์
รองลงมาคือการแฮ็กเพื่อเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ (defacement) และการสร้างเว็บไซต์ปลอมเพื่อดักขโมยข้อมูล
จำนวนเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกบุกรุกเพิ่มมากขึ้นเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
· ความนิยมในการทำงานจากระยะไกลที่เพิ่มมากขึ้น:
การทำงานจากบ้านและการใช้ดีไวซ์ส่วนตัวเพื่อทำงาน ทำให้จำนวนอุปกรณ์และเครือข่ายที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
ที่ใช้เข้าถึงข้อมูลขององค์กร อุปกรณ์ที่ถูกละเมิดนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้ก่อภัยคุกคามเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ในอินทราเน็ตขององค์กรได้
· มาตรการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่ขาดประสิทธิภาพ:
บางองค์กรอาจมีมาตรการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่อ่อนแอ เช่น ซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย
ขาดไฟร์วอลล์ หรือมีระบบตรวจจับการบุกรุกไม่เพียงพอ
· ขาดการตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์: องค์กรธุรกิจและผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากไม่ค่อยตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยไซเบอร์
และไม่ได้ดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปกป้องระบบของตน
· การเพิ่มขึ้นของแรนซัมแวร์:
แรนซัมแวร์จะเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและเรียกค่าไถ่เพื่อแลกกับการถอดรหัสไฟล์
ผู้โจมตียังใช้กลวิธีรีดไถเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่ ซึ่งเป็นวิธีการปกติในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
และทำให้ธุรกิจเสียหายอย่างมาก
· กลโกงฟิชชิง:
การหลอกลวงด้วยฟิชชิงเป็นวิธีการทั่วไปในการหลอกล่อเหยื่อเอาข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เพื่อเข้าถึงเครือข่ายของเหยื่อ
· ขาดกฎระเบียบที่ครอบคลุม:
กฎระเบียบด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่ครอบคลุมและกลไกการบังคับใช้กฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ
กฎระเบียบนี้ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องรับผิดชอบต่อแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยไซเบอร์
และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
นายเซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “เหตุการณ์ไซเบอร์ที่เกิดจากเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกบุกรุกในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส
การเพิ่มขึ้นนี้ถือเป็นเรื่องน่าตกใจและอาจส่งผลร้ายแรงต่อธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไป
การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงความคิดริเริ่มของภาครัฐบาล
ความร่วมมือในแวดวงความปลอดภัยไซเบอร์ และความรับผิดชอบส่วนบุคคล”
“รัฐบาลของไทยได้ดำเนินการเชิงรุกอย่างชัดเจน
โดยจัดสรรทรัพยากรเพิ่มเติมให้กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสืบสวนและดำเนินคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์
รวมถึงร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ รวมถึงแคสเปอร์สกี้
เราทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐบาล
และขยายโครงการริเริ่มต่างๆ ในวงกว้าง เช่น โปรแกรมเสริมสร้างศักยภาพ
โครงการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาและนำนโยบายไปปฏิบัติ
และแคมเปญสร้างความตระหนักรู้ของภาคสาธารณะ เราตั้งเป้าที่จะทำให้ไซเบอร์สเปซในประเทศไทยมีความปลอดภัยมากขึ้น”
นายเซียง เทียง โยว กล่าวเสริม
แคสเปอร์สกี้ขอแนะนำให้ธุรกิจทุกขนาดดำเนินการเพื่อปกป้องระบบจากการถูกบุกรุก
ดังต่อไปนี้
·
ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่เข้มงวด
ซึ่งรวมถึงการใช้ไฟร์วอลล์ ระบบตรวจจับการบุกรุก และซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยไซเบอร์
เช่น Kaspersky
Next
เพื่อปกป้องอุปกรณ์เอ็นด์พ้อยต์
·
สำรองข้อมูลเป็นประจำ ในกรณีเครือข่ายถูกละเมิด
การสำรองข้อมูลจะทำให้สามารถกู้คืนไฟล์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่
·
อัปเดตซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีใช้ประโยชน์จากช่องโหว่และแทรกซึมเครือข่ายได้
·
สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ ควรพิจารณาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้น
โดยตั้งศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยโดยใช้เครื่องมือ SIEM (การจัดการข้อมูลและเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย) เช่น Kaspersky
Unified Monitoring and Analysis Platform (KUMA) ซึ่งแสดงคอนโซลรวมสำหรับตรวจสอบและวิเคราะห์เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของข้อมูล
และโซลูชัน Kaspersky
Next XDR
ซึ่งเป็นโซลูชันรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง สามารถป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนได้
·
ให้ความรู้แก่พนักงานเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ผ่านเครื่องมืออย่างเช่น
Kaspersky Automated Security
Awareness Platform เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงความเสี่ยงจากภัยคุกคามไซเบอร์
และวิธีการป้องกันตนเองจากความเสี่ยงเหล่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น