JSP ลุยจดอนุสิทธิบัตรน้ำมันงาดำรำข้าวหลังทำยอดขายอันดับ 1 ของบริษัท แนะคนไทยเร่งนำนวัตกรรมสมุนไพรจดสิทธิบัตรหลังพบปี68จดได้แค่16ฉบับ - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568

JSP ลุยจดอนุสิทธิบัตรน้ำมันงาดำรำข้าวหลังทำยอดขายอันดับ 1 ของบริษัท แนะคนไทยเร่งนำนวัตกรรมสมุนไพรจดสิทธิบัตรหลังพบปี68จดได้แค่16ฉบับ

 


·      JSP คว้าอนุสิทธิบัตร สูตรของน้ำมันงาดำและน้ำมันรำข้าวที่ผสมกันด้วยในอัตราที่เหมาะสม หลังทำยอดขายน้ำมันแม่อี๊ดดวงใจปีนี้เป็นอันดับ ของบริษัทเมื่อเทียบจากเป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ 1,000 ลบ.เชื่อหลังได้อนุสิทธิบัตรสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าและพันธมิตรมากขึ้นหนุนยอดขายโตมากขึ้

·      เผยเบื้องหลังความสำเร็จมาจากงานวิจัยใช้ระยะเวลา ปี ด้วยวัตถุดิบจากเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน หนุนเศรษฐกิจเติบโตทุกระดับ

·      พร้อมแนะคนไทยให้ความสำคัญกับการจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร หลังล่าสุดพบปี 68 ยื่นจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรด้านพืชสมุนไพรได้ 16 ฉบับ  แต่ยังน้อยกว่าต่างชาติที่จดได้ 296 ฉบับ


นายพิษณุ แดงประเสริฐ
  รองประธานกรรมการบริหารสายงานขายและการตลาด ริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) ในปี 2568 JSP สามารถทำยอดขายเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมันงาดำรำข้าวแบรนด์ “สุภาพโอสถ” หรือที่รู้จักกันในชื่อที่ติดตลาด “น้ำมันแม่อี๊ดดวงใจมียอดขายเป็นอันดับ ของบริษัทเมื่อเทียบจากเป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ 1,000 ล้านบาท  ล่าสุด JSP จึงได้จดอนุสิทธิบัตร สูตรของน้ำมันงาดำและน้ำมันรำข้าวที่ผสมกันด้วยในอัตราที่เหมาะสม” ซึ่งเป็นสูตรที่ใช้ระยะเวลาในการทำวิจัย ปี โดยเป็นสูตรน้ำมันงาดำและรำข้าวที่รับมาจากเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชุน เหมาะสมสําหรับช่วยดูแลสุขภาพกับผู้บริโภค โดยนําไปทดสอบผลในห้องปฏิบัติการแล้วพบว่าช่วยลดการอักเสบของข้อและรูมาตอยด์ ในเซลล์กระดูกอ่อนที่ถูกกระตุ้นด้วยทีเอ็นเอฟ-แอลฟา (TNF-α) (Tumor necrosis factoralpha) และ ช่วยลดความดันในเส้นเลือด (ทดสอบการยับยั้งของเอนไซม์เอซีอี 50 %)

 

ทั้งนี้ JSP มีนโยบายในการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนในการเป็นแหล่งวัตถุดิบ รวมถึงส่งเสริมให้วิสาหกิจมาใช้บริการห้องแล็ป ของ JSP ในการทดลองและทำการวิจัย เนื่องจากปัจจุบันพบว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 คนไทยยื่นจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรด้านพืชสมุนไพรจำนวนมากแต่จดได้จริง 16 ฉบับ  มีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ยังคงเน้นไปที่ อาหารและเครื่องดื่ม และ การพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก ( Future Food ) อย่างไรก็ดีจำนวนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรที่จดได้ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับต่างชาติที่จดได้  296 ฉบับ ซึ่งการจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรนี้สะท้อนถึงความพยายามในการนำพืชสมุนไพรมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุน ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี และสร้างแรงบันดาลใจให้คิดค้นสิ่งใหม่ๆ เช่น ยารักษาโรค

 

นอกจากนี้การจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่าสินค้าที่ได้รับไปนั้นมาจากงานวิจัยอย่างเข้มข้นและได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ซึ่งก็จะสร้างผลตอบแทนให้ผู้ประดิษฐ์คิดค้น และขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

 

“การจดสิทธิบัตรของ สูตรของน้ำมันงาดำและน้ำมันรำข้าวที่ผสมกันด้วยในอัตราที่เหมาะสม ก็จะสนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์น้ำมันงาดำของเราได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้นมียอดขายที่ดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ส่งผลดีเฉพาะด้านยอดขายแต่ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรมากขึ้น โดยเฉพาะการจดอนุสิทธิบัตรที่ทำได้ง่ายกว่าแต่สามารถคุ้มครองการประดิษฐ์ที่ใหม่และใช้ประโยชน์ทางอุตสาหกรรมได้” นายพิษณุ กล่าว

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad