JCKคาดปีหน้าปิดการขายนิคมฯทีเอฟดีเฟส 2 จำนวน 500 ไร่ สร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท จ่อผุดเฟส 3 อีก 1,800 ไร่ กระทุ้งรัฐฯให้สิทธิลดหย่อนภาษีอสังฯราคาเกิน 5 ล้านบาทหนุนหมุนเวียนเศรษฐกิจ - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2564

JCKคาดปีหน้าปิดการขายนิคมฯทีเอฟดีเฟส 2 จำนวน 500 ไร่ สร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท จ่อผุดเฟส 3 อีก 1,800 ไร่ กระทุ้งรัฐฯให้สิทธิลดหย่อนภาษีอสังฯราคาเกิน 5 ล้านบาทหนุนหมุนเวียนเศรษฐกิจ

 


JCK มั่นใจขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมภายในปี 64 นี้ จำนวน 60 ไร่ได้ตามเป้าหมาย และที่เหลืออีกราว 500 ไร่ คาดขายได้หมดภายในปี 65  มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท เหตุหลังเปิดประเทศมีนักลงทุนต่างชาติตบเท้าแห่เยี่ยมชมโรงงาน เนื่องจากมีจุดเด่นทำเลทอง คมนาคมสะดวก ไม่ไกลกรุงเทพและมอเตอร์เวย์ หนุนผลประกอบการปี 65 เติบโตโดดเด่น จ่อขยายทีเอฟดี เฟส อีก 1,800 ไร่

              นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ JCK เปิดเผยว่า ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปี 2564 นี้ บริษัทฯคาดว่าจะสามารถขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 2 จำนวน 60 ไร่ได้ตามเป้าหมาย และที่ดินที่เหลืออีกประมาณ 500  ไร่ คาดว่าจะสามารถขายได้หมดภายในปี 2565 ปิดโครงการทีเอฟดี เฟส และจะสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท

              สาเหตุเนื่องจากภายหลังรัฐบาลเปิดประเทศ พบว่านักลงทุนต่างประเทศได้แสดงความสนใจติดต่อเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส เป็นจำนวนมาก เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้การคมนาคมขนส่งเป็นไปด้วยความสะดวก ขณะที่ราคาขายต่อไร่ไม่สูง  ประมาณ ล้านบาทต่อไร่

               “บริษัทฯมีความมั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปีหน้า หรือจะสามารถสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท และเตรียมขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 3 จำนวนที่ดินประมาณ 1,800 ไร่ ขณะเดียวกันบริษัทฯอยู่ระหว่างพัฒนาที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงราย ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว และทาวเฮาส์ คาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ภายในไตรมาส แรกของปี 2565 จะสนับสนุนให้ผลประกอบกายของบริษัทฯในปี 2565 เติบโตโดดเด่น” นายอภิชัย กล่าว

              บริษัทฯ ให้ความสนใจกับการพัฒนาก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยว ทาวเฮาส์ โดยชะลอการลงทุนคอนโดมิเนียม เนื่องจากเล็งเห็นว่าจำนวนคอนโดมิเนียมเหลือตกค้างในตลาดจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า แสนยูนิต และส่วนใหญ่จะอยู่ใจกลางเมืองราคาเกิน 5 ล้านบาท และแทบไม่พบการเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เนื่องจากต้นทุนในการซื้อที่ดินพุ่งสูงตามราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้เกิดการระบายอสังหาริมทรัพย์เหลือตกค้างในตลาด ดังนั้นต้องการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาออกมาตรการให้สิทธิลดค่าธรรมเนียมการโอนและภาษี ให้ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ราคาเกิน ล้านบาทขึ้นไป จากเดิมให้สิทธิลดหย่อนกับบ้านราคาไม่เกิน ล้านบาทเท่านั้น  นอกจากจะเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ให้มีกำลังในการพัฒนาโครงการใหม่  ก่อให้เกิดการจ้างงาน และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad