สนค. หนุนผู้ประกอบการพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2568

สนค. หนุนผู้ประกอบการพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่

  



สนค. เผยมูลค่าตลาดของเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลกร้อยละ 9.08 ต่อปี 

จากการพัฒนาของ AI และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) เล็งเห็นโอกาสการพัฒนาศักยภาพทางการค้าของผู้ประกอบการไทย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกและผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีระดับโลก  



นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อมูลจาก Presedence Research  ระบุว่า ในปี 2567 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะทั่วโลกมีมูลค่า 34,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 37,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 โดยในช่วงปี 2568-2577 คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9.08 ต่อปี จนมีมูลค่าสูงถึง 81,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2577 

แนวโน้มการเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ซึ่งได้รับแรงสนับสนุน

จากการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet 

of Things: IoT) ที่ช่วยสนับสนุนการสร้างเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ซับซ้อนให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะ

ในผู้บริโภคกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่ต้องการควบคุมและสั่งการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ภายในบ้าน

ด้วยอินเทอร์เน็ต เนื่องจากให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความใส่ใจสิ่งแวดล้อม 


ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ 3 อันดับแรกของโลกในปี 2567 คือ (1) เอเชียแปซิฟิก สัดส่วนร้อยละ 42 เนื่องจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ชาวเอเชียมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเครื่องฟอกอากาศ (2) อเมริกาเหนือ สัดส่วนร้อยละ 25 มาจากการสนับสนุนจากหลายปัจจัย อาทิ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และอุปกรณ์สำหรับควบคุมอุณหภูมิ (Thermostat) และ (3) ยุโรป สัดส่วนร้อยละ 21 ซึ่งได้รับอานิสงส์จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความปลอดภัย เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ หลอดไฟ ตู้เย็น และอุปกรณ์สำหรับควบคุมอุณหภูมิ


ผอ.สนค. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาครัฐและภาคเอกชนทั่วโลกต่างผลักดันการพัฒนานวัตกรรมและสนับสนุนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม อาทิ ญี่ปุ่น ส่งเสริมให้มีการติดตั้งระบบ Home Energy Management System (HEMS) ซึ่งใช้ระบบ IoT ในการควบคุมและตรวจสอบการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งผลให้สามารถวิเคราะห์และใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่บริษัท SHARP พัฒนานวัตกรรมเครื่องใช้ในครัวอัจฉริยะให้สามารถสั่งการด้วยเสียงควบคู่กับระบบผู้ช่วยเสมือน ซึ่งยกระดับ

การทำอาหารให้มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น สหรัฐอเมริกา มีโครงการ State Energy Program (SEP) สำหรับ

ให้เงินทุนแก่รัฐต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบริษัท iRobot คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะที่ใช้พลังงานน้อยและมีชิ้นส่วนที่รีไซเคิลได้ เยอรมนี ออกกฎหมาย German Buildings Energy Act 

ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในอาคาร และสนับสนุนภาคครัวเรือนในการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น ควบคู่กับบริษัท BOSCH คิดค้นนวัตกรรมระบบจ่ายน้ำยาซักผ้าอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดทั้งน้ำและน้ำยาซักผ้า 


สำหรับประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยกระทรวงพลังงานได้ออกแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan : EEP) ส่งเสริมให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น IoT Big Data และ AI ควบคู่กับการสนับสนุนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566-2570) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ

ในอาเซียนภายในปี 2570 ขณะที่กระทรวงพาณิชย์มีบทบาทในการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย โดยดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างการส่งออกให้ทันสมัย มุ่งเน้นการส่งออกในกลุ่มธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี พร้อมทั้งผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเปิดตลาดและขยายโอกาส

ให้สินค้าไทยสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในต่างประเทศได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังสนับสนุนข้อมูลทางการค้าและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลก


ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า จากแนวโน้มความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาของเทคโนโลยีระบบอัจฉริยะ และ AI ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก ส่งผลให้ไทยต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมมือกันในการยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย โดยอาจนำนโยบายของประเทศที่ประสบความสำเร็จมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงควรสนับสนุน

การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การวิจัยพัฒนา และการพัฒนาทักษะแรงงานในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง 

ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ เพิ่มโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ 

และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของไทย

----------------------------------------

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

23 มิถุนายน 2568


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad