บางจากฯBangchak ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 รักษาเสถียรภาพท่ามกลางราคาน้ำมันผันผวน ได้รับเลือกเข้าดัชนี SET50 และติดอันดับ 17 ใน Fortune Southeast Asia 500 - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568

บางจากฯBangchak ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 รักษาเสถียรภาพท่ามกลางราคาน้ำมันผันผวน ได้รับเลือกเข้าดัชนี SET50 และติดอันดับ 17 ใน Fortune Southeast Asia 500

 


กลุ่มบริษัทบางจากรายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 260,474 ล้านบาท EBITDA อยู่ที่ 16,331 ล้านบาท ซึ่งแม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนท่ามกลางราคาน้ำมันที่ปรับลดลงต่อเนื่องและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่ก็ยังคงสามารถรักษาระดับการดำเนินงานได้ในกลุ่มธุรกิจหลัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันที่มีกำลังการผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 และกลุ่มธุรกิจการตลาดที่ยังรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้ต่อเนื่อง

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แม้ในช่วงครึ่งปีแรก บางจากฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่บริษัทฯ ยังสามารถ

ทำกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) จากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันและกลุ่มธุรกิจการตลาด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้หลักของบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และการบูรณาการกับบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งบริษัท BCPT FZCO ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจการค้าน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ขณะเดียวกัน การที่บางจากฯ ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนี SET50 อย่างต่อเนื่อง และได้รับการจัดอันดับที่ 17 จาก 500 บริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยนิตยสาร Fortune ในปี 2568 สูงขึ้นจากอันดับ 24 ในปีก่อน

ยังสะท้อนศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว”

นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน รายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568 ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ดังนี้

กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1,399 ล้านบาท ลดลงจาก 6,570 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าการกลั่นพื้นฐาน (Operating GRM) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 4.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากส่วนต่างราคาน้ำมัน (Crack Spread) ที่อ่อนตัวลงในทุกผลิตภัณฑ์ ประกอบกับการรับรู้ผลขาดทุนจาก Inventory Loss และการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) รวม 3,750 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ต่ำกว่าน้ำมันดิบดูไบในช่วงเวลาดังกล่าว และต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลงในภาพรวม ช่วยลดแรงกดดันจากค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงได้บางส่วน โดยมีกำลังการผลิตเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกรวมอยู่ที่ 254,900 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนงสามารถเดินเครื่องเต็มกำลังโดยไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนงานเช่นเดียวกับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567

กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 3,022 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568 ลดลงจาก 3,977 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2567 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไว้ได้ที่ระดับประมาณร้อยละ 29 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเครือข่ายและคุณภาพการให้บริการ

กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มี EBITDA ในครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1,881 ล้านบาท ลดลงจาก 2,424 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบของการสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย และการจำหน่ายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 9 โครงการในเดือนมิถุนายน 2567

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA ในครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 380 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจาก 493 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานผลิตเอทานอลในไตรมาส 1 ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกากน้ำตาลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล ขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ยังคงทรงตัวใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ผลประกอบการในภาพรวมของธุรกิจปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2567

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA อยู่ที่ 10,128 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ลดลงร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 13,074 ล้านบาท โดยได้รับผลกระทบจากราคาขายน้ำมันเฉลี่ยที่ปรับลดลงตามแนวโน้มราคาตลาดโลก และปริมาณการจำหน่ายที่ลดลงจากการรับรู้ผลกระทบเต็มครึ่งปีจากการจำหน่ายแหล่งผลิต Yme เมื่อปลายปี 2567 อย่างไรก็ดี OKEA ได้ปรับเพิ่มประมาณการการผลิตเป็น 30,000 – 32,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ในปี 2568 และ 31,000 – 35,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ในปี 2569 จากแหล่งผลิตปิโตรเลียมที่สามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้เพิ่มขึ้น

โดยในไตรมาส 2 ปี 2568 กลุ่มบริษัทบางจากมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 125,827 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 3,664 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,247 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมผลกระทบจาก Inventory Loss และขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ กลุ่มบริษัทบางจากมีผลขาดทุนสุทธิ 2,560 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 1.86 บาท

โดยผลประกอบการได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงเป็นหลัก

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 กลุ่มบริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวม 30,215 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 310,702 ล้านบาท หนี้สินรวม 228,247 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 82,455 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.19 เท่า

นอกจากนี้ ตามที่บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรณีเหตุเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นศรีราชา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม บริเวณหอกลั่นน้ำมันดิบของหน่วยกลั่นที่ 2 ซึ่งสามารถควบคุมเพลิงได้อย่างรวดเร็ว โดยจากการประเมินพบว่าเกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อย และหน่วยกลั่นที่ 2 กลับมาดำเนินการได้ตามปกติแล้วตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม (ภายใน 5 วันนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์) เหตุการณ์ดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและผลประกอบการของกลุ่มบริษัทบางจากอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทบางจากยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานภายใต้หลักความปลอดภัยสูงสุด โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงาน ผู้ปฏิบัติงาน ชุมชนโดยรอบ และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เกี่ยวกับบางจากฯ

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินงานใน 5 ธุรกิจหลัก คือ 1) กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ผู้นำด้านการกลั่นน้ำมันของประเทศ ด้วยกำลังการผลิตรวมเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวัน จากโรงกลั่นน้ำมันแบบ Complex Refinery มาตรฐานระดับโลก 2 แห่ง คือโรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนงและโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ขยายสู่ธุรกิจการค้าน้ำมันผ่านบริษัทบีซีพี เทรดดิ้ง (BCPT) และต่อยอดเครือข่ายธุรกิจขนส่งเชื้อเพลิง ผ่านบริษัทกรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิงทางท่อและโลจิสติกส์ (BFPL) รวมถึงลงทุนในธุรกิจเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF ผ่านบริษัทบีเอสจีเอฟ (BSGF) 2) กลุ่มธุรกิจการตลาด ส่งมอบ Greenovative Experience ผ่านเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,200 แห่ง เสริมด้วยธุรกิจ non-oil เช่น กาแฟอินทนิล ร้าน Lemon Green น้ำมันหล่อลื่น FURIO EV Charger รวมทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรด้านอาหารหลากหลายและนำระบบดิจิทัลมาส่งมอบประสบการณ์ทันสมัย สะดวก ปลอดภัย ให้กับผู้ใช้บริการ 3) กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด และการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการการใช้พลังงานของผู้บริโภคและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย บมจ. บีซีพีจี ผู้นำธุรกิจพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค 4) กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ดำเนินการภายใต้ บมจ. บีบีจีไอ ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ของประเทศและขยายสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง 5) กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่านการถือหุ้นใน OKEA ASA ประเทศนอร์เวย์ ที่เป็นที่ยอมรับว่ามีมาตรฐานด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจแนวใหม่ เช่น ธุรกิจ Battery as a Service สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Winnonie และได้จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ (BiiC) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจใหม่ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้ง Carbon Markets Club เพื่อส่งเสริมการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิกฤตสภาวะภูมิอากาศและการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และร่วมก่อตั้งภาคีเครือข่ายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งอนาคต SynBio Consortium

บางจากฯ ได้รับการจัดอันดับ Top 1% ระดับสูงสุดของโลกด้านความยั่งยืน ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Refinery and Marketing ใน S&P Sustainability Yearbook 2025 โดย S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ผู้จัดทำการประเมินความยั่งยืนดัชนี DJSI รวมถึงได้รับการจัดอันดับที่ 17 ใน Fortune Southeast Asia 500 และเป็นบริษัทไทยรายเดียวที่ได้รับการประเมินความยั่งยืน MSCI ESG Ratings ระดับ AA สูงสุดในกลุ่ม Oil & Gas Refining, Marketing, Transportation & Storage ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 และได้รับการยกย่องจาก Financial Times ให้เป็น Asia Pacific Climate Leader ในปี 2024 นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล "สุดยอดนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2567" (Kincentric Best Employer Thailand 2024) เป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในกลุ่มธุรกิจน้ำมันของไทยที่ได้รับการยกย่องจากองค์กรชั้นนำระดับโลก

บางจากฯ ตั้งเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bangchak.co.th/th/home 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad