ศึกชิงมรดก “เอ๋ ไพโรจน์” ฝั่งภรรยาเปิดใจผ่านสื่อครั้งแรก
เหตุร้องศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับทายาท เพื่อปกป้องสิทธิ
การจากไปอย่างกะทันหันของ “เอ๋” ไพโรจน์ สังวริบุตร อดีตพระเอกขวัญใจคนไทย ได้ทิ้งปมมรดก
ที่กลายเป็นประเด็นขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างคุณพลอย-พลอยรัชษ์ ชินรัตน์วาณิช ภรรยาคนล่าสุดที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานกว่า 20 ปี กับลูกสาวของภรรยาเก่า จนนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีความของทั้งสองฝั่ง ท่ามกลางกระแสสังคม ที่ตั้งคำถามว่าการที่ภรรยาปัจจุบัน ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจะมีสิทธิ ในมรดกของ “เอ๋” ไพโรจน์ สังวริบุตร ด้วยหรือไม่
โดยคุณพลอยได้ออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรกในรายการ "แต้มต่อ" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) ดำเนินรายการโดย ดร. ดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย และ “ผู้การแต้ม” พล.ต.ต.วิชัย
สังข์ประไพ เมื่อคืนวันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2568 หลังข่าวในพระราชสำนัก ในรายการคุณพลอยได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับ “เอ๋ ไพโรจน์” เพราะอดีตพระเอกดัง "เข็ด" จากปัญหาฟ้องร้องกับอดีตภรรยาคนที่สอง ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความรักโดยไม่ได้มีเอกสารทางกฎหมายมาผูกมัดพร้อมกับยืนยันว่า “ไม่ได้เป็นเมียน้อย” เพราะเป็นการแต่งงานที่เปิดเผยและเป็นที่รับรู้ของสาธารณชน
ด้าน “ผู้การแต้ม” ชี้ว่า การกระทำของบุตรสาวคุณไพโรจน์ตามที่เป็นข่าว ที่ได้ไปเปลี่ยนกุญแจบ้านของคุณไพโรจน์ โดยที่ คุณพลอย ซึ่งเป็นผู้อาศัย มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและยังคงอาศัยอยู่ พฤติกรรมดังกล่าวอาจเข้าข่าย “บุกรุก” และ “รบกวนการครอบครองสิทธิ” ของคุณพลอย แม้สิทธิในความเป็นทายาทจะเกิดทันทีหลังเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย แต่กรณีมีข้อพิพาทเรื่องทรัพย์มรดก บุตรสาวคุณไพโรจน์ ไม่ควรเข้าไปทำการยึดครอบครองบ้าน จนกว่าจะพิสูจน์สิทธิในทางศาลได้ว่าใครเป็นผู้มีสิทธิ ซึ่งคุณพลอยและทนายความได้ยื่นเรื่องต่อศาล เพื่อคัดค้านการเป็นผู้จัดการมรดกของฝ่ายทายาท และร้องขอให้ตนเองเป็นผู้จัดการมรดกร่วม
ในฐานะภรรยาที่ได้อยู่กินกันมาเป็นเวลา 20 ปี
ด้าน “นายกิตติศักดิ์ ธนันณัฎฐ์” ทนายความในคดีของคุณพลอย ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ลูกบิดและแม่กุญแจ ได้ถูกเปลี่ยนใหม่โดยไม่มีร่องรอยการงัดแงะ หมายถึงต้องมีการตัดกุญแจ เดิมออกไปก่อน
จึงเป็นที่มาของการแจ้งความในข้อหา “ลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์” เพื่อให้ตำรวจสืบหาตัวผู้กระทำ สำหรับประเด็นเรื่องที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสนั้น ในแง่กฎหมายหากมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการก่อร่างสร้างตัว หรือสร้างทรัพย์สินร่วมกัน บุคคลนั้นก็ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์นั้น สามารถยื่นคำร้อง คัดค้าน และ ขอเป็นผู้จัดการมรดกร่วม ได้เลยในคราวเดียวกัน ซึ่งมีกรณีตัวอย่างจากคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้วหลายคดี
ทางด้าน “คุณศิริพร ไชยสุต” นายกสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ให้ความเห็นว่าปัญหาเรื่องครอบครัวเป็นปัญหาสำคัญในสังคม ที่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนสองคน แต่ส่งผลกระทบในวงกว้าง และทุกปัญหาสุดท้ายต้องจบลงที่กฎหมาย หากไม่มีการเจรจากันด้วย "คุณธรรม" หรือ "ความยุติธรรม" ตั้งแต่แรก และการไม่จดทะเบียนสมรส นอกจากจะส่งผลกระทบตั้งแต่เรื่องทรัพย์สินแล้ว ยังเป็นการกระทบสิทธิในการตัดสินใจเรื่องชีวิต เช่น การเจ็บป่วย หรือการเข้าเยี่ยม ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้นควรทำพินัยกรรม หรือบันทึกข้อตกลง ไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในช่วงท้ายของรายการ คุณพลอยได้เปิดใจถึงความรู้สึกที่มีต่ออดีตสามีผู้ล่วงลับ พร้อมน้ำตาโดยระบุว่า“คุณไพโรจน์ไม่ได้เป็นคนร่ำรวยแต่พลอยก็ยังยินดีที่จะใช้ครึ่งชีวิตของพลอยอยู่กับเขาได้โดยที่ไม่ได้เรียกร้องอะไร”
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่าชีวิตที่ผ่านมากับคุณไพโรจน์คือช่วงเวลาที่เกินฝันของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง และหากย้อนเวลากลับไปได้ เธอก็ยังเลือกที่จะใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้เช่นเดิม
"หากผู้หญิงคนนี้ย้อนเวลากลับไปได้ พลอยก็ยังจะเลือกที่จะอยู่กับผู้ชายคนนี้เพียงแต่ต้องการพิทักษ์สิทธิของการเป็นภรรยาที่พลอยสมควรจะได้รับ แต่ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากไปกว่าที่สมควรได้" คุณพลอยกล่าวทิ้งท้าย
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ รายการแต้มต่อ Ep. 98 ศึกชิงมรดก เอ๋ ไพโรจน์ เมียเดินหน้าร้องศาลเป็นผู้จัดการมรดกร่วม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น