เปิดมุมมองศก.เสวนาในงาน“ปากท้องคนไทยจะเป็นอย่างไรในปี 2567” - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

เปิดมุมมองศก.เสวนาในงาน“ปากท้องคนไทยจะเป็นอย่างไรในปี 2567”

 


วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566  บริษัท กาแล็กซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมกับ สถานีโทรทัศน์ TOPNEWS  พร้อมผู้สนับสนุนหลัก อย่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  จัดเวทีเสวนา “ปากท้องคนไทยจะเป็นอย่างไรในปี 2567”  รดน้ำที่ราก เพื่อให้ต้นไม้งอกงามทั้งต้น  โดยนายเอกชัย ชัยเชิดชูกิจ ผู้อำนวยการ สถานีโทรทัศน์ TOPNEWS  กล่าวเปิดงาน และวัตถุประสงค์ของงาน  พร้อมด้วย นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด  เข้าร่วมงาน 


สำหรับงานเสวนา “ปากท้องคนไทยจะเป็นอย่างไรในปี 2567”  นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  ให้เกียรติปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “อนาคตเศรษฐกิจประเทศไทย 2567”   ระบุว่า  ปี 67  ต้องดูปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย  เริ่มจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งการเติบโตในปีหน้าโดยรวมยังใกล้เคียงกับปีนี้ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 66 จะเติบโตที่ 3% ในขณะที่ปี 67 เศรษฐกิจโลกจะเติบโตชะลอลงเล็กน้อยที่ 2.9% เนื่องจากหลายประเทศคู่ค้าของเรา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น จะมีการเจริญเติบโตที่ชะลอลง ประกอบกับค่าเงินบาทที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับประมาณ 35-36 บาทต่อดอลลาร์ เป็นสัญญาณว่า มูลค่าการค้าของไทยก็น่าจะยังทรงตัวต่อไป


ขณะที่ภาคเศรษฐกิจจีน ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยไปด้วย ซึ่งยังไม่ฟื้นจากช่วงโควิด-19 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 40 ล้านคน ขณะที่ปีนี้ คาดว่าจะได้ไม่เกิน 28 ล้านคน และปี 67 เป็นปีที่จะเริ่มฟื้นตัวได้บ้างที่ 34-35 ล้านคน 



นายกฤษฎา ระบุว่า สำหรับเศรษฐกิจภายในประเทศ เสถียรภาพยังดีอยู่ เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เรียกได้ว่าต่ำที่สุดในอาเซียน โดยในปี 67 คาดว่าจเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.5% และน้ำมันดิบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใกล้เคียงปี 66 คิดว่ายังเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากหากราคาพลังงานมีแนวโน้มอยู่ในระดับนี้ แรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อก็น่าจะลดลงไปด้วย 


อย่างไรก็ตาม ต้องดูปัจจัยเสี่ยงอื่น ที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติที่อาจมีผลสืบเนื่องต่ออุปทานหรือ Supply และราคาสินค้าเกษตร และผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคต่าง ๆ เป็นต้น

                                                                              

ส่วนเสถียรภาพด้านการเงินการคลัง  ไม่ต้องเป็นห่วง เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของระบบสถาบันการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 19.9 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดให้สถาบันการเงินต้องดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงไม่น้อยกว่า  8.5%  /หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 62% ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง และเกือบทั้งหมดเป็นการกู้ยืมภายในประเทศ ความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบการเงินโลกหรือความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนต่อเสถียรภาพด้านการเงินการคลังของไทยจึงมีน้อยมาก  / เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 มีอยู่กว่า 5 แสนล้านบาท / ทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่กว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ // ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลเกือบ 3 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ // Credit Rating ที่ไทยคงไว้ในระดับ BBB+ สะท้อนเสถียรภาพของไทยได้ด


นายกฤษฎา ระบุว่า  ปี 67 คาดว่าจะเติบโตได้ 3% เล็กน้อย แต่ยังไม่รวมมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจะออกมา ไม่ว่าจะเป็นช่วงต้นปีหน้า  และปลายปี โดยหลายมาตรการอยู่ระหว่างการออกแบบ และต้องดูประสิทธิภาพของมาตรการว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด รวมถึงต้องดูเครื่องจักรอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้จ่ายของภาครัฐจากงบประมาณปี 67 ที่ออกมาล่าช้า และคาดว่าจะใช้ได้ในช่วงปลายเดือนเม.ย. ถึงต้นเดือนพ.ค.67   


ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยก็ยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายประการ ปัจจัยความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนจากภายนอก ได้แก่ ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่คุกรุ่น ทั้งในฝั่งยุโรป ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่เอเชีย-แปซิฟิก เศรษฐกิจโลกที่ยังเติบโตได้ไม่สม่ำเสมอ ภาวะนโยบายการเงินตึงตัวและดอกเบี้ยสูง ซึ่งทำให้ตลาดการเงินและการเคลื่อนย้ายเงินทุนมีความผันผวนสูง



ส่วนปัจจัยเสี่ยงจากภายใน ก็มีความเสี่ยงจากปัจจัยการผลิต หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง  ได้แก่ 

1. โครงสร้างประชากรที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือ  20% ของประชากร เป็นผู้สูงอายุ ในขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะนำไปสู่การขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและภาคบริการ อย่างในภาคเกษตรกรรมนี้ เข้าใจว่า อายุเฉลี่ยของแรงงานเกินกว่า 50 ปี  และเมื่อจำนวนแรงงานลดลง ฐานภาษีที่จะเป็นรายได้ของประเทศก็ลดลงเช่นกัน 

2. เม็ดเงินลงทุน ซึ่งการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่า 25% ของ GDP มานานถึง 25 ปี 

3. หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 80%  ของ GDP มากว่า 10 ปี และปัจจุบันอยู่ที่กว่า 90% ของ GDP ส่งผลให้การใช้จ่ายของครัวเรือนทำได้ไม่สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย รวมไปถึงการออมและการลงทุนของครัวเรือน 


เมื่อนำมารวมกันแล้ว ก็จะไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดเศรษฐกิจไทย แม้จะเติบโตต่อเนื่อง แต่ก็เติบโตในอัตราที่ลดลงเรื่อย ๆ ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา จากที่โตได้ในระดับ 5-6%  ในช่วงหลังจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ลดลงมาเป็นเติบโตไม่ถึง 1%  ในช่วง 

5 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการเติบโตสะดุดช่วงไปการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย 


รวมถึง มีการเสวนาในหัวข้อ ปากท้องคนไทย  “รดน้ำที่ราก เพื่อให้ต้นไม้งอกงามทั้งต้น” ดำเนินรายการ โดย นายณรงค สุทธิรักษ์ ผู้ดำเนินรายการ “ลึกจริงเศรษฐกิจ” Top Biz Insight และนางสาวศิรินทร์รัตน์ จันทะมาต ผู้ดำเนินรายการ “รู้ออม รู้ลงทุน ” คลื่นวิทยุ FM 90.5


โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจาก  ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย  ,  นายนิพนธ์  สุวรรณประสิทธิ์  กรรมการผู้จัดการ สถาบันการลงทุน QIQP  บล.ไอร่า จำกัด (มหาชน)  และดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


ต่อคำถามที่ว่า ปี 2567 รัฐบาลมีของขวัญปีใหม่เตรียมไว้ให้ประชาชนหรือไม่  ดร.เผ่าภูมิ ระบุว่า ไม่เกินเดือนมิ.ย.67  เม็ดเงินโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต จะลงสู่ภาคประชาชน โดยรัฐบาลจะแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วนตามความเหมาะสม  กลุ่มแรก คือ เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทที่แจกภาคประชาชน , กลุ่มโครงการ e-Refund  สำหรับผู้ที่มีรายได้สูง เพื่อให้สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้จากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท   , กองทุนเพื่อลงทุนพัฒนาประเทศ เพิ่มขีดสามารถในการแข่งขันระยะยาว   



ส่วนประเด็นเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ ที่เป็นเหตุผลให้รัฐต้องกู้ในครั้งนี้ ดร.เผ่าภูมิ มองว่า อัตราเติบโตของไทยไม่เป็นไปตามเป้า ขณะที่รายจ่ายสูงขึ้นเรื่อย ๆ และภาคแรงงานมีตัวเลขของคนวัยทำงานลดลงเรื่องๆ เรียกได้ว่าแรงงานหายไปจากระบบ จากการที่ไทยกำลังเดินเข้าสู่สังคมสูงวัย ถ้ายังไม่กระตุ้นการเกิด  ไม่เพิ่มศักยภาพแรงงาน ก็จะเกิดปัญหา


ดร.เผ่าภูมิ ระบุถึงประเด็นที่ว่า “ประเทศไทยอยู่ในวิกฤตหรือไม่” หลักคิดของคำว่า “วิกฤต” ไม่อยากให้มองตัวเลขระยะเวลาหนึ่ง หรือช่วงสงคราม หรือการเกิดโรคระบาด แล้วบอกว่าเป็นตัวบ่งชี้เดียวที่เป็นวิกฤต ถือเป็นมุมมองที่สั้นเกินไป การมองวิกฤตต้องมองในระยะยาว  หากรอแบบนั้น จะเป็นการรอวิกฤตแล้วค่อยมาแก้ไข ซึ่งจะต้องมองในระยะยาว ว่าประเทศเราอยู่ในสถานะแบบใด


โดยการเติบโตของเศรษฐกิจ ไตรมาส 3 อยู่ที่ 1.5% เฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2% ต้นๆ เราเรียนว่า ไทยเปรียบเสมือนเดินในลู่วิ่ง แข่งกับประเทศอื่นๆ ค่าเฉลี่ยการเติบโตของจีดีพีโลกอยู่ที่ 3%  แต่ไทยอยู่ที่ 2% มา 10 ปี  แสดงว่าเราเดินช้ากว่าโลก และหากเปรียบเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนา ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4% กว่า ขณะที่ไทยโตเพียง 2%  คิดว่าเราต้องมองให้เป็นปัญหา ถ้าเราไม่มองว่าเป็นปัญหา และเดินไปเรื่อยๆ มองว่า “อันตราย”


ดร.เผ่าภูมิ ระบุว่า ไทยมีปัญหาด้านซัพพลาย ทำไมรัฐบาลกระตุ้นฝั่งดีมานด์ อยากให้มองดิจิทัลวอลเล็ต นี่ไม่ใช่การกระตุ้นฝั่งบริโภคอย่างเดียว  มันมากพอที่จะนำมารวมกันในครอบครัวและเกิดการลงทุนขนาดเล็กในชุมชน  หมู่บ้าน และ 6 เดือน มากพอให้เกิดการกักตุนวัตถุดิบ เกิดการจ้างแรงงานเพื่อที่จะช้อนกำลังซื้อมหาศาล  เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัว อย่างมองแค่ Consumption พยายามโยงให้ไปถึงตัว I หรือ investment

ดร.เผ่าภูมิ  กล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพ แต่สิ่งที่ขาด คือ ศักยภาพ ที่จะเติบโตได้เพียงแค่ 3%  เห็นด้วยกับการรักษาเสถียรภาพ แต่ต้องเพิ่มศักยภาพ กำลังแรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน ทำควบคู่กันไป

 

ด้านดร.พจน์  ระบุว่าเชื่อว่าจีดีพีไทยไม่ควรต่ำกว่า 3%  พร้อมมองว่า เงินดิจิทัล ยังไงก็ต้องมา ไม่เกิดไม่ได้  เพราะถ้าไม่มารัฐบาลอยู่ไม่ได้ ต้องมีการพูดคุยกันจนลงตัวให้ทุกฝ่ายยอมรับ ทุกอย่างผ่านก็จบ


โดยผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ยังขาดองค์ความรู้เทคโนโลยี หากรัฐบาลเพิ่มศักยภาพจะส่งผลให้คนรากหญ้า สามารถทำธุรกิจได้ นอกจากนี้ธุรกิจท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นรายได้ในภาคบริการ ผู้ประกอบการที่ได้รับเงินโดยตรง แต่ปัญหาคือคนเข้าประเทศเยอะแต่ใช้เงินน้อย หากเศรษฐกิจไทยยังอยู่แบบนี้ ไม่เกิน 30 ปี จะเหลือประชากรเพียง 30 ล้านคน เพราะกลุ่มเกิดใหม่มีจำนวนต่ำ ส่วนเรื่องของวิกฤต จีดีพี ต้องใช้เวลา 5-7 ปีถึงจะกลับมา แต่ปัญหาเรื่องขัดแย้งทางการเมืองตลอด 26 ปี ทำให้เศรษฐกิจไม่โตขึ้น โครงสร้างพื้นฐานถูกปัญหาการเมืองเข้ามาแทรกแซง แม้ตอนนี้การเมืองกลับมาปกติแต่ไม่มีงบประมาณที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ คาดหวังว่าปีหน้าเศรษฐกิจและการส่งออกของไทยจะดีขึ้น


ขณะที่นายนิพนธ์ ระบุถึงประเด็นเงินดิจิทัล  ว่า สิ่งที่จะแก้หนี้ได้ต้องมีรายได้ต่อเนื่อง ไม่ใช่มีครั้งเดียว 10,000 บาท  และเตือนรัฐบาลว่า เสี่ยงมากที่จะออกพ.ร.บ.เงินกู้  ถ้าผ่านสภา ก็ผิดทั้งสภา


ทั้งนี้  ต้องให้ทุกหน่วยงานมาร่วมพูดคุยการแก้ปัญหาโครงสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ การการศึกษา การยอมรับผู้ที่มีความสามารถ ทุกคนต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหาต้องแก้เรื่องโครงสร้าง ส่วนปัญหาคนเกิดน้อยก็ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว เราจะเดินไปข้างหน้า โครงสร้างอุตสาหกรรมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เป็นการลงทุนที่เยอะมาก

ชมรายละเอียดได้ทาง. https://www.youtube.com/live/YP4B6_khcH0?si=gDA_5XkINdtBJUiZ

ขอขอบคุณ. TOPNEWS  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad