โครงการความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวแบบครบวงจร (Collaborative Excellence in Heart Failure Management) - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

โครงการความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวแบบครบวงจร (Collaborative Excellence in Heart Failure Management)

 


พล.ต.ต. น.พ. เกษม รัตนสุมาวงศ์ นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

ปัญหาสำคัญที่ทั่วโลกต้องเผชิญ นั่นคือ “ภาวะหัวใจล้มเหลว” ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสามเหตุผลสำคัญที่ควรให้ความสำคัญกับโรคนี้

 เหตุผลแรกคือ แนวโน้มของจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสังคมไทยเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุมักมีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว

 เหตุผลที่สองคือ อัตราการเสียชีวิตที่สูง จากข้อมูลการศึกษาในประเทศไทย พบว่า ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลมีอัตราเสียชีวิต 5-10% และภายในหนึ่งปีหลังจากเข้ารักษาครั้งแรก มีอัตราการเสียชีวิตถึง 20% และหากติดตามอาการไปถึง 5 ปี อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 50% ซึ่งเทียบเท่ากับโรคมะเร็ง นี่เป็นตัวชี้วัดถึงความรุนแรงของโรคที่ไม่ควรมองข้าม

 เหตุผลที่สามคือ การกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำ แม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาและไม่เสียชีวิต แต่โอกาสกลับมานอนโรงพยาบาลอีกภายในระยะเวลาอันสั้นก็ยังสูงมาก เกินกว่า 50% ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลง และส่งผลกระทบต่อระบบการดูแลรักษาโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการดูแลต่อเนื่องและเป็นระบบ


จากนั้นผู้นำเสนอได้กล่าวถึงบทบาทของ สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่รวบรวมและเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องและทันสมัยเกี่ยวกับโรคหัวใจไปยังสมาชิกในวิชาชีพและสังคมทั่วไป พร้อมทั้งเน้นย้ำพันธกิจของสมาคมในการยกระดับการดูแลโรคหัวใจของคนไทย โดยเฉพาะโรคหัวใจล้มเหลว ผ่านสามแนวทางหลัก:

1. การสร้างความตระหนักรู้ หรือ Heart Failure Awareness เพื่อให้ประชาชนรู้จักและตระหนักถึงความเสี่ยง รวมถึงการรู้เท่าทันอาการและเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม

2. การรักษาที่เหมาะสมตามมาตรฐาน (Optimal Medical Treatment) ซึ่งต้องได้รับการรักษาตรงตามแนวทางสากล

3. การดูแลแบบสหสาขาวิชา (Multidisciplinary Care) ซึ่งหมายถึงการดูแลผู้ป่วยโดยทีมบุคลากรที่ประกอบไปด้วยแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เนื้อหาช่วงท้ายยังได้กล่าวถึงการริเริ่มแนวคิดในการจัดตั้ง คลินิกหัวใจล้มเหลว (Heart Failure Clinic) เพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยอย่างมีระบบ โดยสมาคมฯ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวทางดังกล่าวและการให้ความรู้ต่อประชาชน

เครื่องมือและแนวทางต่าง ๆ ที่สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภาวะหัวใจล้มเหลว โดยหนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือเว็บไซต์ ThaiHealthyHeart.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ทั้งในด้านการป้องกันโรคหัวใจ การดูแลตนเองเมื่อป่วย และแนวทางการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ เว็บไซต์นี้จัดทำโดยสมาคมฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและทั่วถึง

อีกทั้งยังได้กล่าวถึงความร่วมมือกับชมรมหัวใจล้มเหลวในประเทศไทย โดยได้จัดทำแนวทางเวชปฏิบัติ (Clinical Practice Guideline) สำหรับการดูแลภาวะหัวใจล้มเหลว ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข และได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการยกระดับมาตรฐานการรักษา

โครงการนี้แบ่งออกเป็นสองระยะ (Phase) โดย ระยะแรก (เฟสแรก) คือการวางแผนและกำหนดตัวชี้วัดที่เหมาะสมสำหรับโรงพยาบาลในแต่ละระดับทั่วประเทศ โดยคำนึงถึงศักยภาพ ความพร้อม บุคลากร และทรัพยากรของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง เพื่อให้การนำแนวทางไปปฏิบัติสามารถทำได้จริงและสอดคล้องกับบริบทในแต่ละพื้นที่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาแผนดังกล่าว

ระยะที่สอง (เฟสที่สอง) จะเป็นการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินงานของคลินิกหรือศูนย์สุขภาพต้นแบบต่าง ๆ ทั่วประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีเคสสุขภาพทั้งหมด 13 แห่ง และในปีนี้มีแผนจะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม 4 แห่ง เพื่อประเมินผลและพัฒนาต่อยอดในอนาคต

สำหรับ วัตถุประสงค์หลักของโครงการ ซึ่งก็คือการยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวในประเทศไทย เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ลดการกลับมานอนโรงพยาบาล และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่เป็นภาระแก่ครอบครัวหรือสังคม สามารถทำงานและใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติทั่วไป พร้อมทั้งแสดงความยินดีและความมุ่งมั่นของสมาคมในการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน

ในภาพรวม สาระสำคัญของช่วงนี้สะท้อนถึงการวางรากฐานเชิงระบบของการดูแลภาวะหัวใจล้มเหลวในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการใช้เครื่องมือดิจิทัล ความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน และการประเมินผลที่ชัดเจน พร้อมทั้งมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง

ศาสตราจารย์ นพ.รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 

บทบาทและการดำเนินงานของชมรมฯ ซึ่งอยู่ภายใต้สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์หลายท่าน โดยชมรมฯ มีภารกิจหลักในการพัฒนาระบบดูแลผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว (Heart Failure: HF) ซึ่งเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุเกิน 65 ปี

อาการของโรคหัวใจล้มเหลวมีความซับซ้อนและการวินิจฉัยทำได้ยาก เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเหนื่อย จึงจำเป็นต้องมีระบบวินิจฉัยและรักษาที่มีมาตรฐานเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่เหมาะสม

ชมรมหัวใจล้มเหลวร่วมกับสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยให้ใกล้เคียงมาตรฐานสากล โดยตั้งเป้าหมายให้เกิดระบบดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของโครงการ Heart Failure Collaboration

หนึ่งในแนวทางหลักคือการพัฒนา "Heart Failure Guidelines" สำหรับประเทศไทย โดยปรับจากแนวทางสากลให้เหมาะสมกับบริบทไทย แนวทางนี้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เช่น จากฉบับปี 2019 สู่ฉบับปี 2022 และ 2023 เพื่อรองรับข้อมูลใหม่และยารักษาใหม่ที่เข้ามาในระบบ ซึ่งสามารถลดอัตราการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำและการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ

ชมรมหัวใจล้มเหลวได้รับการสนับสนุนจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจโลกในการจัดทำ "Heart Failure Registry" หรือฐานข้อมูลผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายรวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยประมาณ 4,000 คน ใน 37 โครงการทั่วประเทศ ปัจจุบันได้ข้อมูลแล้วกว่า 3,000 คน ข้อมูลนี้ใช้วิเคราะห์เพื่อระบุจุดที่ควรปรับปรุงและพัฒนาให้ได้ตามเป้าหมายของระบบการดูแลรักษา

เมื่อมีการนำยารักษาใหม่เข้าสู่ระบบ ชมรมฯ จะมีทีมงานวิเคราะห์ด้านความคุ้มค่า (Cost Utility) ของยา โดยพิจารณาราคายาและผลลัพธ์ที่ได้รับ เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาในระดับนโยบาย เช่น การบรรจุยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ พร้อมทั้งเจรจาต่อรองราคาให้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ

ชมรมฯ ยังได้เข้าร่วมโครงการ "Get With The Guidelines" ของ American Heart Association (AHA) ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาการดูแลผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวในชีวิตประจำวัน โดยร่วมดำเนินการในหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อวิเคราะห์อุปสรรคและนำแนวทางไปประยุกต์ใช้กับโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ การดูแลรักษาผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศที่ต้องเร่งพัฒนาให้ได้มาตรฐานที่ดีที่สุด ผ่านความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ลดอัตราการเสียชีวิต และสร้างระบบที่ยั่งยืนในระยะยาว

นพ. สิทธิลักษณ์ วงษ์วันทนีย์ รองผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 

บทบาทของกระทรวงในฐานะผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่นอกกรุงเทพฯ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 70% ของจำนวนเตียงผู้ป่วยในประเทศ นั่นหมายถึงผู้ป่วยกว่า 70% ได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลของกระทรวง จึงจำเป็นต้องวางแผนระบบบริการ (Service Plan) สำหรับโรคหัวใจโดยเฉพาะ

ในช่วงแรก กระทรวงมุ่งเน้นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (Acute Coronary Syndrome) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ และได้ผลักดันให้อยู่ในแนวทางการดูแลของโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยปรับโรงพยาบาลในสังกัดกว่า 905 แห่งให้แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่:

 S (Standard): โรงพยาบาลทั่วไป มีแพทย์ทั่วไปหรือเวชศาสตร์ครอบครัว

 A (Advanced): โรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะสาขาหลัก เช่น อายุรกรรม ศัลยกรรม สูติกรรม กุมารเวชกรรม

 P (Professional): โรงพยาบาลใหญ่ที่มีแพทย์เฉพาะทาง เช่น แพทย์โรคหัวใจ

ปัจจุบันประเทศไทยมีเพียงประมาณ 60 กว่าโรงพยาบาลที่มีแพทย์โรคหัวใจ และในสังกัดกระทรวงมีเพียง 180 คนจากทั้งหมด 905 โรงพยาบาล จึงยังมีความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลของปี 2567 ระบุว่า มีผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบที่ต้องนอนโรงพยาบาลถึง 58,000 ราย โดยมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 8.6% ซึ่งแม้จะลดลงจากในอดีต (มากกว่า 10%) แต่ยังคงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างเขตสุขภาพ โดยบางเขตมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 13% ขณะที่บางเขตต่ำเพียง 6%

การเสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 10.2% ในปี 2562 เหลือเพียง 9.09% ในปี 2568 ส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาการเข้าถึงการรักษา เช่น การใช้สายสวนหัวใจที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผู้รอดชีวิตจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบหรือตันมักจะมีโอกาสพัฒนาสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทรวงเริ่มให้ความสำคัญต่อเนื่อง

สถิติระหว่างปี 2563–2567 แสดงให้เห็นว่าจำนวนการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้นจาก 110,000 เป็น 140,000 ครั้งทั่วประเทศ และแนวโน้มยังเพิ่มขึ้นในทุกเขตสุขภาพ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้น เช่น:

 ผู้ป่วยโรคหัวใจรอดชีวิตมากขึ้น

 ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

ขณะเดียวกัน อัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 4.07% เป็น 4.39% ในระดับประเทศ ขณะที่ในโรงพยาบาลใหญ่บางแห่งอาจสูงถึง 8-10% และถ้าติดตามผู้ป่วยกลับบ้าน อัตราการเสียชีวิตภายใน 1 ปีอาจสูงถึง 30-50%

กระทรวงร่วมกับสมาคมแพทย์โรคหัวใจได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานการดูแลผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวในแต่ละระดับของโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ไม่มีแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ เพื่อให้สามารถให้การรักษาขั้นพื้นฐานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย เช่น:

 พัฒนาบุคลากรพยาบาลให้เชี่ยวชาญด้านหัวใจล้มเหลว

 จัดอบรมเภสัชกรเฉพาะทาง

 วางแผนการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยคัดกรองผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ไม่มีแพทย์โรคหัวใจ

การลงพื้นที่และให้ความรู้ทางวิชาการแก่แพทย์ทั่วไปในโรงพยาบาลทั่วประเทศจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้แนวทางการดูแลสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงตามบริบทของแต่ละพื้นที่ และครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มทั่วประเทศ

กระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐกับภาควิชาการ เช่น สมาคมแพทย์โรคหัวใจ ในการส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยเฉพาะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นปัญหาที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามโครงสร้างประชากรในอนาคต

ผู้แทนกระทรวงสรุปว่าการวางแผน ทรัพยากร บุคลากร และเทคโนโลยีที่เหมาะสม ควบคู่กับการให้ความรู้และลงพื้นที่จริง จะช่วยให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดของประเทศ

พญ. อรวรรณ อนุไพรวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์

กรมการแพทย์เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการสนับสนุนด้านวิชาการและเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข โดยโรงพยาบาลในสังกัดมีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านบริการทางการแพทย์และด้านวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรคหัวใจและโรคปอด ด้วยการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมและคุ้มค่ามาใช้ในการดูแลประชาชนชาวไทย

ภารกิจของกรมการแพทย์และสถาบันโรคทรวงอกครอบคลุมการศึกษาวิจัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อนำมาถ่ายทอดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งจากภาครัฐและเอกชน การพัฒนาทักษะเหล่านี้เป็นไปในแนวทางของการทำงานแบบสหสาขาวิชาชีพ โดยมีบทบาทของพยาบาล นักเทคโนโลยีหัวใจ นักกายภาพบำบัด และนักโภชนาการ ร่วมกันในการดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร

สถาบันโรคทรวงอกยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อน จากโรงพยาบาลในเครือข่ายเขตสุขภาพทั้งของรัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพการรักษาให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

นอกจากนี้ สถาบันยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้แผน Service Plan โดยเฉพาะในโรคหัวใจ ซึ่งมีการแต่งตั้ง Project Manager เพื่อร่วมกับคณะทำงานพัฒนาคุณภาพการรักษาผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (STEMI) ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากโรค STEMI แล้ว ทางสถาบันยังตระหนักถึงความสำคัญของผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) ซึ่งมีจำนวนมากในระบบบริการสุขภาพ และยังต้องการการพัฒนาทั้งมาตรฐานการรักษาและความรู้ความเข้าใจของบุคลากร ผ่านความร่วมมือกับสมาคมและชมรมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจล้มเหลว

สถาบันยังดำเนินโครงการ FASH หรือโครงการวิชาการสัญจรมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคลากรใน 13 เขตสุขภาพทั่วประเทศ ด้วยการนำอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจลงพื้นที่เพื่อให้การอบรม และอัปเดตข้อมูลทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคหัวใจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ นอกจากนี้ยังมีการเปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับบุคลากรในพื้นที่ ซึ่งมีบริบทแตกต่างกัน เพื่อให้การกำหนดนโยบายสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงและเหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่

อีกหนึ่งโครงการสำคัญคือ Thai ACS Registry ซึ่งเป็นโครงการที่สถาบันได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Acute Coronary Syndrome) เพื่อสร้างมาตรฐานกลางในการลงบันทึกข้อมูลและติดตามผลลัพธ์การรักษา โดยมีความร่วมมือกับกองตรวจราชการของกระทรวงสาธารณสุข และมีการลงพื้นที่เพื่อสอนวิธีการบันทึกข้อมูลให้กับบุคลากรในแต่ละพื้นที่อย่างถูกต้องและครบถ้วน

สถาบันยังได้จัดทำหนังสือและคู่มือวิชาการที่สามารถนำไปใช้จริงในระบบบริการเครือข่าย เช่น คู่มือการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว หรือโรคหัวใจประเภทต่าง ๆ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์มีแนวทางที่ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้ทันที

ในช่วงท้ายของการกล่าวสุนทรพจน์ แพทย์หญิงอรวรรณ ได้กล่าวถึงความร่วมมือในวันนี้ว่าเป็นการจับมือกันของหลายภาคส่วน อาทิ สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย และชมรมหัวใจล้มเหลวแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันจัดทำแนวทางมาตรฐานการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว โดยพิจารณาจากความแตกต่างของขนาดและศักยภาพของแต่ละโรงพยาบาล เพื่อให้แนวทางนั้นสามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบทของแต่ละพื้นที่

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวในอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนา HF Clinic หรือคลินิกเฉพาะทางสำหรับภาวะหัวใจล้มเหลว เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยมีความเป็นระบบและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้เธอยังกล่าวขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่าย และจบการนำเสนอด้วยความหวังในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของประเทศให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

นายโรมัน รามอส ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และ Frontier Markets

วันนี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของพันธกิจเพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวในประเทศไทย โดยมีการเปิดตัวโครงการ “ความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศในการดูแลภาวะหัวใจล้มเหลว” อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในระบบบริการสุขภาพของไทย

โครงการนี้เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย และบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวผ่านกลยุทธ์ที่ครอบคลุมและนวัตกรรมใหม่ ๆ

ในขณะที่ทั่วโลกมีผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวมากกว่า 64 ล้านคน ประเทศไทยก็เผชิญกับความท้าทายนี้เช่นกัน โดยมีผู้ป่วยมากถึง 1 ล้านคน ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาระบบการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพ

แอสตร้าเซนเนก้ายืนยันความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการปฏิรูประบบการดูแลผู้ป่วย โดยเน้นการดูแลแบบองค์รวมที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง รวมถึงการบูรณาการการดูแลในทุกระดับ เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น

เป้าหมายสำคัญของโครงการคือการลดอัตราการเสียชีวิตและการกลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวภายในปี 2030 พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบสาธารณสุขของไทยในระยะยาว

ขอแสดงความขอบคุณต่อพันธมิตรทุกฝ่ายที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันโครงการและการเปลี่ยนแปลงระบบการดูแลสุขภาพ โดยย้ำว่าความร่วมมืออย่างใกล้ชิดจะช่วยให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad