AAV ประกาศผลประกอบการทางการเงิน ไตรมาส 2 ปี 2568

  • กำไรสุทธิ 214 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 155 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนน้ำมันที่ลดลง

  • อัตราการขนส่งผู้โดยสารร้อยละ 82 จากการปรับเครือข่ายการบิน รุกตลาดที่มีศักยภาพเติบโต

  • รักษาความเป็นผู้นำตลาดภายในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 41 จากการเพิ่มความถี่เที่ยวบินและให้บริการ 2 สนามบินที่ดอนเมืองเเละสุวรรณภูมิ

  • ขยายฝูงบินเป็น 62 ลำ ณ สิ้นไตรมาส พร้อมสร้างการเติบโตในครึ่งหลังของปี 2568

กรุงเทพฯ, 14 สิงหาคม 2568 – บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ผู้ถือหุ้นทั้งหมดในสายการบินไทยแอร์เอเชีย (TAA) รายงานผลการดำเนินงานท่ามกลางความท้าทายในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวที่ลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และแรงกดดันทางเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลต่อปริมาณการเดินทางและบรรยากาศท่องเที่ยวในภาพรวม

ทั้งนี้ AAV มีรายได้จากการขายและบริการรวม 9,820 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย EBITDA อยู่ที่ 634 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 67  กำไรสุทธิ 214 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1,324 ล้านบาท AAV ขาดทุนจากการดำเนินงานหลักที่ (845) ล้านบาท เทียบกับกำไรจากการดำเนินงานหลัก 265 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดยบริษัทมีต้นทุนต่อปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (CASK) อยู่ที่ 1.83 บาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงในไตรมาสนี้ ขณะที่ CASK ไม่รวมต้นทุนน้ำมัน อยู่ที่ 1.26 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ตามจำนวนเครื่องบินและค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น รายได้ต่อปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (RASK) อยู่ที่ 1.63 บาท ลดลงร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความต้องการเดินทางที่ลดลงในวงกว้าง

ในไตรมาส 2 ปี 2568 TAA ให้บริการด้วยปริมาณที่นั่ง (capacity) รวม 5.9 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขนส่งผู้โดยสารรวม 4.8 ล้านคน ลดลงร้อยละ 3 โดยรักษาอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 82 ทั้งนี้ TAA ได้ขยายฝูงบินด้วยการรับมอบเครื่องบินแอร์บัส A321neo เพิ่มอีก 1 ลำ ส่งผลให้จำนวนเครื่องบินรวมเพิ่มเป็น 62 ลำ โดยจัดสรรบางส่วนประจำการที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับการขยายเส้นทางบินในประเทศ ตามกลยุทธ์การให้บริการ 2 สนามบิน ทั้งดอนเมือง (DMK) และสุวรรณภูมิ (BKK) ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของ TAA ในฐานะสายการบินที่มีเครือข่ายเส้นทางบินมากที่สุดในไทย 

ในไตรมาสนี้ TAA เปิดให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศเพิ่มเติม คือ ภูเก็ต-โกชิ (อินเดีย) ภูเก็ต-เมดาน (อินโดนีเซีย) รวมถึงเริ่มให้บริการเส้นทางบิน Fifth Freedom ใหม่  “ดอนเมือง-ฮ่องกง-โอกินาว่า” ซึ่งถือเป็น Fifth Freedom เเวะรับส่งที่ฮ่องกงเป็นครั้งเเรก รวมถึงเส้นทาง “เชียงใหม่-ไทเป-ซัปโปโร” ที่เป็นเส้นทาง Fifth Freedom ที่ 4 สู่ประเทศญี่ปุ่น และเป็นการเปิดบินออกจากเชียงใหม่เป็นครั้งเเรก สะท้อนแผนกลยุทธ์ Fifth Freedom ที่เติบโตต่อเนื่อง

สำหรับครึ่งปีเเรกของปี 2568 TAA ขนส่งผู้โดยสารรวม 10.4 ล้านคน จากปริมาณที่นั่งทั้งหมด 12.3 ล้านที่นั่ง คิดเป็นอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยที่ร้อยละ 84 ส่งผลให้ครึ่งปีเเรก AAV มีรายได้จากการขายและบริการรวม 23,045 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA ที่ 3,988 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีกำไรสุทธิ 1,601 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ (325) ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน AAV มีกำไรจากการดำเนินงานหลักที่ 453 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากการดำเนินงานที่ 1,495 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AAV และ TAA กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2 ด้วยความรัดกุม  เนื่องจากเป็นโลว์ซีซั่น และธุรกิจยังได้รับผลกระทบจากความต้องการเดินทางที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวไทย เหตุแผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ท้าทายมากมาย แต่ TAA ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศไว้ได้ถึงร้อยละ 41 ซึ่งแรงสนับสนุนมาจากการเพิ่มความถี่เที่ยวบิน และความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ให้บริการ 2 สนามบินที่ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ

“แม้คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยโดยรวมน่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่การฟื้นตัวของต่างประเทศหลายตลาดยังไม่เป็นไปตามเป้า  โดยเฉพาะจากประเทศจีน ฮ่องกง และมาเก๊า เราจึงเร่งทำงานร่วมกับภาครัฐในการสื่อสารภาพลักษณ์เเละกระตุ้นตลาดเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้าไทย  รักษาอัตราการเติบโตในตลาดอินเดียและอาเซียน  และขยายโอกาสในเส้นทาง Fifth Freedom ที่มีศักยภาพ” นายสันติสุขกล่าว

อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป TAA ได้ปรับแผนการขยายธุรกิจอย่างรอบคอบมากขึ้น  โดยลดปริมาณที่นั่งในเส้นทางที่มีการเดินทางน้อย และเพิ่มโอกาสในเส้นทางภายในประเทศและเส้นทาง Fifth Freedom โดย TAA ได้เปิดเส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิ ไปยัง บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี และนราธิวาส ซึ่งเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา  และเปิดเส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิไปยัง เชียงราย และนครศรีธรรมราช เริ่มให้บริการตั้งเเต่ 1 ตุลาคมนี้

“ครึ่งปีหลัง เรายังคงเน้นการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น พร้อมรับทุกการแข่งขัน ทั้งกับสายการบินอื่น ๆ และนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศในภูมิภาค โดยบริษัทได้ติดตามและประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและนโยบายระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ยังเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งที่จะสร้างผลการดำเนินงานที่ยั่งยืนได้ โดยคาดว่าแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมขยายฝูงบินเป็น 64 ลำในสิ้นปีนี้ ปรับลดจาก 66 ลำที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้” นายสันติสุขกล่าว