ในวันที่โลกเปลี่ยนเร็วกว่าเนื้อหาในหนังสือเรียน และเด็กในห้องเรียนเข้าถึงข้อมูลและใช้เทคโนโลยีได้คล่องกว่าครูผู้สอน คำถามสำคัญคือ “การศึกษาจะตามโลกทันได้อย่างไร” และ“ครูยังเป็นเหมือนเดิมได้ไหม ในเมื่อเด็กเข้าถึงความรู้ได้เอง โดยไม่ต้องรอครูสอน”
AFAST SMART School เกิดขึ้นจากความเชื่อร่วมกันของหลายองค์กรว่าหากจะพัฒนาคนไทยให้พร้อมเผชิญอนาคต การเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือ “เริ่มจากครู” โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง SCB Academy, KX Build ภายใต้สำนัก Knowledge Exchange (KX) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ 7 พันธมิตรสำคัญ ที่มีเป้าหมายในการช่วยพลิกบทบาทของครูไทย จาก “ผู้สอน” ไปสู่การเป็น “ผู้ออกแบบการเรียนรู้ที่มีหัวใจ” เพื่อสร้างนักเรียนที่ทั้งเก่งวิชาการ และมีทักษะพร้อมรับมือโลกยุคใหม่ ทั้งทักษะดิจิทัล การคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และการเข้าใจตนเอง
โครงการนี้มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 3 ประเด็น คือ หนึ่ง ปรับกระบวนการสอนที่มุ่งเน้นสมรรถนะ (Competency-Based Learning) สอง บูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการศึกษา (EdTech&Innovative Teaching) เพื่อยกระดับคุณภาพการสอน สร้างการเรียนรู้แบบ Active Learning ให้กับนักเรียน และสาม พัฒนาระบบสนับสนุนและเครือข่ายการเรียนรู้สำหรับครู (Professional Learning Community & Coaching) เพื่อสร้างชุมชนวิชาชีพและระบบโค้ชชิ่งให้ครูได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน จุดแข็งของโครงการจึงไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ทันสมัย แต่คือวิธีคิดที่วางรากฐานใหม่ให้ครูไม่ยึดติดกับกรอบเดิม แต่กล้าสร้างประสบการณ์ใหม่ที่สอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน
ผศ.ดร.ปกรณ์ สุปินานนท์ อาจารย์ประจำวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มจธ. หนึ่งในทีมจัดกระบวนการเรียนรู้และเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการเรียนรู้ของ KX หรือที่รู้จักในบทบาทของ “ครูแก้ว” ผู้เป็นประธานหลักสูตรของโครงการ AFAST SMART School กล่าวว่า ครูแก้วไม่ได้มองว่าหน้าที่หลักคือการสอนครู แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ครูได้ฟังหัวใจตัวเอง และเลือกเดินเส้นทางใหม่ด้วยความเข้าใจ
“ครูไทยไม่ได้ขาดความรู้ ไม่ได้ขาดเทคนิค แต่ที่พวกเขาขาดคือแรงบันดาลใจ และพื้นที่ปลอดภัยในการลองผิดลองถูก เราไม่อยากให้โครงการนี้เป็นเพียงแค่การอบรมครั้งหนึ่งแล้วจบไป แต่อยากให้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ครูคนหนึ่ง ‘ลุกขึ้นมาเชื่อในตัวเองอีกครั้ง’ ว่าสิ่งที่เขาทำในห้องเรียนมีความหมาย และสามารถเปลี่ยนอนาคตของเด็กคนหนึ่งได้จริงๆ ” ผศ.ดร.ปกรณ์ กล่าวอย่างหนักแน่นถึงเป้าหมายโครงการ
บทบาทของ KX มจธ.ในโครงการนี้ คือ ผู้ร่วมออกแบบประสบการณ์เรียนรู้ เพื่อสร้างพื้นที่ “ต้นแบบ” ของระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ ที่ครูจะได้ลองออกแบบกิจกรรม ทดลองลงมือทำ สะท้อนผลลัพธ์ และกลับมาพูดคุยกับเพื่อนครูในวง PLC (Professional Learning Community) อย่างสม่ำเสมอ โดยมีทีม Facilitator เข้ามาช่วยสนับสนุน พื้นที่ของ KX ถูกออกแบบให้ยืดหยุ่น สนับสนุนการเรียนรู้ที่หลากหลาย ที่ไม่ใช่แค่การบรรยาย แต่พร้อมทำกิจกรรมที่กระตุ้นความคิด ความร่วมมือ และสร้างการเปลี่ยนแปลงจากภายใน
“เราเปลี่ยนครูไม่ได้ ถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยนเอง เราทำได้แค่สร้างเวทีให้เขาได้พูดคุยกับหัวใจตัวเอง” ครูแก้วเล่า พร้อมยกตัวอย่างถึงครูคนหนึ่งจากจังหวัดศรีสะเกษที่เดินทางมาร่วมอบรมด้วยตัวเอง โดยไม่มีงบสนับสนุนจากโรงเรียนต้นสังกัด แต่เพราะเห็นว่าโครงการนี้จะช่วยให้ตัวเขาสอนเด็กได้ดีขึ้น จึงออกค่าใช้จ่ายเอง ทั้งค่าที่พัก ค่ารถ และตั้งใจเรียนรู้ตลอดสองวันเต็ม “สิ่งที่เราจับสังเกตได้ไม่ใช่แค่คะแนนก่อนและหลังอบรม แต่คือแววตาของครูที่เปลี่ยนไป” ครูแก้วสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดที่สุดจากผู้เข้าร่วม
ผศ.ดร.ปกรณ์ กล่าวว่า หลังจากอบรมรอบแรก ครูที่เข้าร่วมโครงการจะกลับไปยังห้องเรียน และนำสิ่งที่เรียนรู้ไปทดลองใช้จริงในรูปแบบ Active Learning และ Competency-Based Learning จากนั้นจะกลับมาร่วมวงสะท้อน (Reflection) กับเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้ผล และสิ่งที่ต้องปรับปรุง โดยกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ก่อนที่ผลงานของครูและนักเรียนจะถูกนำมาจัดแสดงในนิทรรศการใหญ่ช่วงเดือนธันวาคม 2568
“ผลลัพธ์ของโครงการจึงไม่ใช่แค่ความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นในตัวครูเท่านั้น แต่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียน เด็ก ๆ กล้าคิด กล้าถาม กล้าทดลอง และมีส่วนร่วมมากขึ้น ขณะที่ครูก็มีความมั่นใจในการออกแบบการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับบริบทของนักเรียนในแต่ละพื้นที่”
สำหรับ มจธ. โครงการนี้ตอกย้ำภาพของมหาวิทยาลัยในฐานะแหล่งสร้างความรู้ และแสดงให้เห็นถึงบทบาทของ มจธ. ในฐานะ “ผู้ลงมือทำ” ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม โดยมี KX เป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงโลกวิชาการเข้ากับชีวิตจริงของผู้คน และโครงการนี้คือหลักฐานชัดเจนว่า มจธ. ไม่ได้เก่งแค่วิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ แต่ยังเข้าใจมนุษย์ และมีหัวใจของนักออกแบบการเรียนรู้ที่พร้อมจะจุดประกายให้เกิดแรงบันดาลใจ”ครูแก้วตอกย้ำถึงบทบาทของ มจธ.
เพราะการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไม่จำเป็นต้องเริ่มจากนโยบายใหญ่หรือเทคโนโลยีล้ำสมัยเสมอไป แต่อาจเริ่มจาก “ครูคนหนึ่ง” ที่กล้าลุกขึ้นมาปรับห้องเรียน เปลี่ยนวิธีสอน จากการบอกให้จำมาเป็นการชวนให้คิด กล้าทดลองวิธีใหม่ๆ และมีความเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในแบบของตัวเอง จากครูหนึ่งคนที่กล้าเริ่ม อาจกลายเป็นเชื้อไฟเล็กๆ ที่จุดไฟการเรียนรู้ในใจเด็ก และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงห้องเรียน โรงเรียนไปจนถึงระบบการศึกษาไทยได้ในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น