“มาตรการลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร” Sodium - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568

“มาตรการลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร” Sodium

 


สถานการณ์และผลสุ่มสำรวจโซเดียม กลุ่มขนมขบเคี้ยว กลุ่มอาหารแช่เย็น-แช่แข็ง และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป ปี 2568 Sodium บ่อเกิดของโรค NCDs เตือนอ่านฉลากก่อนเลือกบริโภค


สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย : นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการสำรวจข้อมูลโภชนาการในผลิตภัณฑ์อาหาร 2567 สุ่มสำรวจอ่านฉลากค่าโซเดียมกลุ่มขนมขบเคี้ยว จำนวน จำนวน 352 ตัวอย่าง กลุ่มอาหารแช่เย็น แช่แข็งสำหรับอุ่นร้อนพร้อมรับประทาน จำนวน 60 ตัวอย่าง และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป (อาหารพร้อมบริโภคและอาหารกระป๋อง) จำนวน 48 ตัวอย่าง ได้จัดแถลงข่าวมาตรการลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร สถานการณ์และผลสุ่มสำรวจโซเดียม กลุ่มขนมขบเคี้ยว กลุ่มอาหารแช่เย็น-แช่แข็ง และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป ปี 2568 เพื่อให้ผู้บริโภครู้เท่าทันการอ่านฉลากและเตือนภัยใกล้ตัว Sodium คือบ่อเกิดของโรค NCDs เตือนอ่านฉลากก่อนเลือกบริโภค โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูฉลากอาหารและการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ 2. เพื่อรณรงค์ให้เกิดการแก้ไขกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการลดปริมาณโซเดียมในอาหาร 3. เพื่อสนับสนุนให้เกิดมาตรการของรัฐเกี่ยวกับการเก็บภาษีโซเดียม เน้นสร้างแรงจูงใจในการปรับสูตรอาหารในทางธุรกิจ 4. เพื่อสำรวจการแสดงข้อมูลโภชนาการและปริมาณโซเดียมบนฉลากอาหารของเครื่องปรุงรส อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ


 รศ.นพ. สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวถึง“มาตรการลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารและสถานการณ์โรค NCDs” ว่า ในปี 2564 โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกอย่างน้อย 43 ล้านคน ซึ่งเท่ากับ 75% ของการเสียชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคระบาด โดยโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อ (NCDs) รองลงมาคือมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และเบาหวาน (รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคไตที่เกิดจากเบาหวาน) สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ รสชาติหวาน มัน เค็มจัด ในประเทศสหรัฐอเมริกา การศึกษาสุขภาพประชากร พ.ศ. 2561 สำรวจประชากรเด็กอายุ 5-18 ปี ตรวจพบความดันเลือดสูงร้อยละ 5.5 และ มีภาวะโรคอ้วนร้อยละ 19.5 ซึ่งข้อมูลล่าสุด ในกลุ่มตัวอย่างในเด็กอายุ 2 ถึง 18 ปี มีการประเมินสุขภาพและโภชนาการผ่านแบบสอบถาม การตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่า ความชุกของโรคอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้น โดยภาวะโรคอ้วนรุนแรงมาก มีการเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 253.1% ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาและพบว่าโรคอ้วนในเด็กมีความสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไขมันพอกตับที่สัมพันธ์กับความผิดปกติของระบบเผาผลาญ (MASLD), เบาหวานชนิดที่ 2, ไขมันในเลือดผิดปกติ และความดันโลหิตสูง ส่วนในประเทศไทยมีผู้ป่วยผู้ใหญ่โรค NCDs จำนวนมากเช่นกัน ได้แก่ โรคไตกว่า 8 ล้านคน ความดันโลหิตสูงถึง 13 ล้านคน และเบาหวานกว่า 5.2 ล้านคน

 ด้าน รศ.นพ. ขวัญชัย ไพโรจน์สกุล สาขาวิชาโรคไต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลเสียของการบริโภคโซเดียมมากเกินไปในเยาวชนว่า พฤติกรรมการบริโภคของเด็กไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงง่ายขึ้น พฤติกรรมดังกล่าวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันเลือดสูง การศึกษาในต่างประเทศพบว่าเด็กที่มีภาวะความดันเลือดสูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดในอีก 20 ปีต่อมา โดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นประมาณ 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่มีภาวะความดันเลือดสูง สำหรับข้อมูลในประเทศไทย การศึกษาสุขภาพประชากรไทยโดยการตรวจร่างกาย (Thai National Health and Examination Survey) ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2562-2563 ได้สำรวจประชากรเด็กไทยอายุ 10-19 ปี จำนวนกว่า 4,000 ราย พบว่า ร้อยละ 95 บริโภคโซเดียมเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่แนะนำ และร้อยละ 10 ตรวจพบความดันเลือดสูง

นอกจากนี้ การศึกษายังพบความสัมพันธ์ของความดันเลือดที่สูงขึ้นคู่ไปกับการบริโภคโซเดียมที่สูงขึ้น หมายถึง การบริโภคโซเดียมยิ่งมากจะตรวจพบความดันเลือดสูงยิ่งสูงขึ้นไปด้วย ดังนั้น การรณรงค์เพื่อลดปริมาณการบริโภคโซเดียมในเด็กไทย เป็นเรื่องที่สังคมควรให้ความสำคัญเพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนของภาวะความดันเลือดสูงในเด็กเหล่านี้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต


ด้าน นพ. กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กล่าวถึง มาตรการภาครัฐในการดำเนินงานเพื่อลดการบริโภคโซเดียมว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs สาเหตุหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม การบริโภคเกลือและโซเดียมมากเกินไป คนไทยมีการบริโภคเกลือและโซเดียมสูงเกือบ 2 เท่า ของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ว่า ไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกลือแกง 1 ช้อนชา ส่งผลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคไตเรื้อรัง เป็นต้น มาตราการลดการบริโภคโซเดียมนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการที่มีความคุ้มค่าสูง (Best buys) และควรดำเนินการเพื่อป้องกันควบคุมโรค NCDs ในระดับประชากร โดยประเทศไทยรับมติสหประชาชาติในการติดตามผล 9 เป้าหมายของการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับโลก (9 Global target) ซึ่งการลดการบริโภคโซเดียมเป็น 1 ใน 9 เป้าหมาย โดยกำหนดตัวชี้วัดค่าเฉลี่ยปริมาณการบริโภคโซเดียมให้ลดลงร้อยละ 30 ภายใน ปี พ.ศ. 2568 ในปี พ.ศ.2568 (เทียบจากปี พ.ศ. 2552) สมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 8 พ.ศ. 2558 มีมติรับรองนโยบายการลดการบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรค NCDs และมอบหมายให้ กรมควบคุมโรค ร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายจัดทำ “ยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2559 - 2568” หรือ SALTS มุ่งลดการป่วย การตายก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม โดยผลักดันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ผ่านคณะกรรมการนโยบายการลดบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน โดยมาตรการภาครัฐในการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. การให้ความรู้และส่งเสริมให้ผู้บริโภคและประชาชนมีความตระหนักรู้ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการบริโภคเค็ม โดยพบว่าคนไทยได้รับโซเดียมส่วนใหญ่ในอาหารจากการใช้เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูงในการประกอบอาหารรับประทานเอง (ร้อยละ 71) รวมถึงสารประกอบโซเดียมอื่น ๆ ที่มีการเติมในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เช่น ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) เบกกิ้งโซดา (โซเดียมไบคาร์บอเนต) ผงฟู สารปรับความเป็นกรดด่างในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ (ไดโซเดียมฟอสเฟต) เป็นต้น จึงให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องและนำไปปฏิบัติได้ง่าย สื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ เช่น ส่งเสริมการอ่านฉลากโภชนาการแบบ GDA/ข้อมูลโภชนาการบนผลิตภัณฑ์อาหาร (Front of pack) ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีตราสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo)”การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมต่ำและสนับสนุนให้ อสม. ใช้ Salt meter ในการตรวจวัดโซเดียมในอาหารของครัวเรือนที่รับผิดชอบเพื่อสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน

2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์/ปรับสูตรลดปริมาณเกลือและโซเดียมทั้งในผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารท้องถิ่นและอาหารปรุงสุกที่จำหน่าย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรม ผู้ขาย/ผู้ประกอบการร้านอาหาร เร่งรัดมาตรการกำหนดเพดานปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่มีโซเดียมต่ำ เพิ่มความตระหนักรู้ในกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารในการปรับสูตรอาหารลดโซเดียม กรมควบคุมโรค สนับสนุนการพัฒนาครู นักกำหนดอาหารประจำจังหวัด และครู ข แกนนำปรับสูตรอาหารท้องถิ่นลดโซเดียม เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปรับสูตรลดเกลือและโซเดียมในผลิตภัณฑ์ OTOP อาหารท้องถิ่น และอาหารปรุงสุกที่จำหน่าย และ 3. การปรับสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ส่งเสริมให้ผู้บริโภคและประชาชนเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้ง่ายหรือมีเมนูชูสุขภาพจำหน่ายทั้งภายในและบริเวณโดยรอบโรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ทำงาน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ การขับเคลื่อนการดำเนินงานชุมชนลดเค็มและการป้องกันควบคุมโรคไตในชุมชน สนับสนุนให้ผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรผลิตภัณฑ์ลดโซเดียมและขอรับรองตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ “ทางเลือกสุขภาพ Healthier Choice Logo” (ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง 3,411 รายการ ใน 15 กลุ่มผลิตภัณฑ์ จาก 542 บริษัท) ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการจัดเก็บภาษีโซเดียม ซึ่งถือเป็นมาตรการกระตุ้นผู้ประกอบการอาหารปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด เพื่อสร้างทางเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภค และขับเคลื่อนชุมชนลดเค็ม ห่างไกลโรคไม่ติดต่อ

สุดท้ายนี้ กรมควบคุมโรค บูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรค NCDs มุ่งมั่นผลักดันมาตรการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม จึงได้มีการขยายระยะเวลาการดำเนินงานยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2559 - 2568 ถึงปี พ.ศ. 2570 และดำเนินการ (ร่าง) แผนปฏิบัติการลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทยในระยะต่อไป (พ.ศ. 2571 - 2575)

 


ด้าน ดร. สุชีรา บันลือสินธุ์ องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวถึง แนวทางและมาตรการลดการบริโภคโซเดียม (ในผลิตภัณฑ์อาหาร) ดังนี้ องค์การอนามัยโลกได้พัฒนาแนวทางและแนะนำมาตรการที่มีประสิทธิภาพให้แก่ประเทศดำเนินการ เพื่อช่วยให้ประชาชนลดการบริโภคโซเดียมลงได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ การลดการบริโภคโซเดียมเป็นมาตรการที่คุ้มค่า ทำได้จริง และช่วยเสริมสร้างสุขภาพของประชน ลดการเจ็บป่วย ค่ารักษาพยาบาล ลดความสูญเสียทั้งทางตรงและทางอ้อมจากโรคไม่ติดต่อ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ดำเนินมาตรการระดับประเทศเหล่านี้ ในทุกๆ ด้านเพื่อลดการบริโภคโซเดียมของประชาชน

1. การปรับลดปริมาณโซเดียมในอาหาร โดยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมในการกำหนดเพดานปริมาณโซเดียม หรือตั้งเป้าหมายแบบบังคับเพื่อลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้นโยบายทางการคลัง เช่น เก็บภาษีอาหารโซเดียมสูง หรือให้เงินสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงอาหารลดโซเดียมและดีต่อสุขภาพ

2. นโยบายการจัดหาและจัดซื้ออาหารเพื่อการบริโภคที่ดีต่อสุขภาพในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยการกำหนดแนวทางการจัดหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพและดำเนินการในหน่วยงานภาครัฐ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ทำงาน เป็นต้น

3. การมีฉลากบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ง่าย เช่น ฉลากคำเตือนหรือไฟจราจร

4. การรณรงค์สร้างความตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ลดการบริโภคโซเดียมลง ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับมาตรการต่างๆ ข้างต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad