ศูนย์ War Room ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามล่าเอาเงินคืนให้ผู้เสียหาย “MONEY CASH BACK ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน” - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ศูนย์ War Room ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามล่าเอาเงินคืนให้ผู้เสียหาย “MONEY CASH BACK ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน”

 



วันนี้ (21 สิงหาคม 2568) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้บัญชาการ ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ผบ.ศกค.) หรือ International Anti-Scam and Human Trafficking Syndicate Command Center (IAC) และผู้อำนวยการศุนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) แถลงข่าว “ศูนย์ Warroom ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามล่าเอาเงินคืนให้ผู้เสียหาย MONEY CASH BACK ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน” โดยมี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท./รอง ผบ.ศกค., พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท./รอง ผบ.ศกค., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ณ ห้อง “Warroom IAC” ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 7 อาคารศูนย์ฝึกอบรมตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 


สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เป็น ผบ.ศกค. ได้เดินหน้าขับเคลื่อน “Warroom IAC” ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและการเงินทั้งในประเทศ และหน่วยงานระหว่างประเทศ อาทิ UNODC, FBI และ Interpol เพื่อจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างบูรณาการ โดยครอบคลุมตั้งแต่การกวาดล้างเครือข่าย การระงับบัญชี ติดตามเส้นทางการเงิน ไปจนถึงการคุ้มครองเหยื่อ โดยเน้นมาตรการเชิงรุกภายใต้แนวคิด “ปิดประตูทุบหม้อข้าว” เพื่อมุ่งสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 3 เดือน โดยเฉพาะการตัดวงจรเครือข่ายใหญ่ในกัมพูชา ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการหลอกลวงประชาชนไทยและต่างประเทศ


พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดดำเนินการตามโครงการ “MONEY Cash Back ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน” อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ สามารถจับกุมเครือข่ายบัญชีม้าของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ และสามารถติดตามนำคืนให้แก่ผู้เสียหายตามขั้นตอนในโครงการ “MONEY CASH BACK” ไปแล้วหลายครั้ง รวมจำนวนเงินกว่า 232.2 ล้านบาท โดยล่าสุด สามารถติดตามอายัดเงินของผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงออนไลน์ได้เพิ่มเติมอีก 2 ราย มีรายละเอียด ดังนี้


กรณีที่ 1 รวบเครือข่ายหลอกเทรดหุ้นออนไลน์ ลวงอดีตข้าราชการลงทุนสูญเงินกว่า 8 ล้าน อายัดทัน 1.2 ล้าน นำคืนผู้เสียหาย


สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือน ธ.ค.67 ผู้เสียหายเป็นอดีตข้าราชการได้พบเพจเฟซบุ๊กปลอมบัญชีหนึ่ง ได้โฆษณาเกี่ยวกับการลงทุนเทรดหุ้นออนไลน์ จึงเกิดความสนใจ ต่อมาได้ถูกดึงเข้ากลุ่มไลน์ชื่อ (LINE Globaledgemax) 

โดยช่วงแรกเริ่มจากลงทุนจากยอดจำนวนน้อย ปรากฏว่าสามารถถอนเงินกำไรออกมาได้จริง จึงได้ลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อโอนเงินลงทุนในยอดเงินที่สูงขึ้น กลับไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ รวมมูลค่าความเสียหาย จำนวน 

8,076,559.46 บาท จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ บช.สอท. ในเวลาต่อมา 


จากกรณีดังกล่าว กก.3 บก.สอท.1 ได้รวบรวมพยานหลักฐานและสืบสวนติดตามผู้ต้องหาในขบวนการได้แล้วบางส่วน โดยดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา,เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ต้นเกี่ยวข้องโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด”


ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถอายัดเงินในบัญชีธนาคารของนายจักริชฯ หนึ่งในผู้ต้องหาไว้ได้ ซึ่งผู้เสียหายได้โอนเข้าบัญชีดังกล่าวเพื่อลงทุนตามที่ถูกหลอกลวง จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 1,261,105.36 บาทซึ่งอายัดได้ทันทั้งจำนวน 


กรณีที่ 2 รวบเครือข่ายหลอกหญิงสูงวัยหารายได้พิเศษ โดนไป 5 แสน อายัดทันทั้งหมด นำคืนผู้เสียหาย

เมื่อช่วงเดือน ก.พ.68 ผู้เสียหายเป็นหญิงสูงวัยรายหนึ่ง ได้พบเจอโฆษณาบนแอปพลิเคชัน TikTok อ้างว่าสามารถหารายได้พิเศษได้ เมื่อผู้เสียหายสนใจจึงติดต่อไป จากนั้นจึงถูกเชิญเข้าร่วมกลุ่มไลน์ปลอม ที่มีหน้าม้าคอยจัดฉากให้ดูน่าเชื่อถือ มีการโพสต์ข้อความแสดงผลกำไร และมีสมาชิกในกลุ่มร่วมยืนยันว่าลงทุนแล้วได้เงินจริง เพื่อสร้างความไว้วางใจ


ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินเพื่อลงทุนเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารของ นายกิตตินันท์ฯ 

ซึ่งถูกใช้เป็นบัญชีรับโอนเงินจากเหยื่อ หลังโอนเงินเสร็จสิ้น ผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินคืนได้ จึงรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อและได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ในเวลาต่อมา


ในขณะเดียวกัน ทางธนาคารเจ้าของบัญชีของ นายกิตตินันท์ฯ ได้ตรวจสอบรายการเดินบัญชีดังกล่าว พบว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ.68 เวลาประมาณ 10.44 น. ยอดเงินในบัญชีคงเหลือ 70 บาท จากนั้นเวลาประมาณ 10.51 น. ได้มีบัญชีธนาคาร ของผู้เสียหาย โอนเงินเข้าไปจำนวน 500,000 บาท จึงทำให้ยอดเงินคงเหลือเพิ่มขึ้นเป็น 500,070 บาท


เมื่อธนาคารตรวจสอบพบความผิดปกติ และพบว่าอาจเข้าข่ายเป็นบัญชีต้องสงสัยที่ใช้ในการกระทำความผิด จึงได้ระงับการทำธุรกรรมและอายัดเงินในบัญชีดังกล่าวไว้ได้จำนวน 500,070 บาท และได้รับการประสานงานจาก กก.3 บก.สอท.1 ในเวลาต่อมา จนมีหลักฐานว่าเป็นยอดเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดจริง


จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ต่างให้ถ้อยคำว่า ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินที่อายัดไว้ ไม่โต้แย้งในกรรมสิทธิ์ และยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมอบเงินในบัญชีตามจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ผู้เสียหาย


โดยวันนี้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท.

พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดติดตามคดี จึงได้ร่วมกันนำเงินจำนวน 1,761,105.36 บาท คืนให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 2 ราย ตามโครงการ “MONEY Cash Back ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad