รายงานข่าวจากบริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX เปิดเผยว่า นายปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ได้ทำรายการขายหุ้น จำนวนรวม 38.4 ล้านหุ้น หรือประมาณ 4.68% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยได้ขายให้กับนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไป
ภายหลังจากการทำรายการดังกล่าว
สัดส่วนการถือหุ้น SFLEX ของ นายปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ ยังคงเหลือมากกว่า
20% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างคณะกรรมการและทีมผู้บริหาร
รวมไปถึงกลยุทธ์และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคตแต่อย่างใด
สำหรับวัตถุประสงค์ในการขายหุ้นดังกล่าว
เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้ส่วนตัวและถอนหุ้นที่วางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในบัญชีมาร์จิ้นออกมา
ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นมุมมองเชิงบวกกับผู้ถือหุ้น ที่มีต่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นและการบริหาร
รวมถึงนักลงทุนทั่วไปคลายกังวล กับราคาที่ผันผวน และความเสี่ยงที่จะถูก Forced
Sell ในอนาคต ทั้งนี้ ยังสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
และส่งผลให้หุ้นของบริษัทฯ มีเสถียรภาพด้านราคามากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญคือ SFLEX
มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งโดยมีผลการดำเนินงานที่ดีมาก มีผลกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องถึง
7 ไตรมาสติดต่อกัน ผลจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและกลยุทธ์การตลาดที่ชัดเจน
และจากการลงทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งในและต่างประเทศ
เริ่มมีผลเชิงบวกต่อผลประกอบการ
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้หุ้น SFLEX
สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงในอนาคต
ด้าน ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (SFLEX) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนชั้นนำในประเทศ
ระบุว่าบริษัทฯ คงเป้าหมายรายได้แบบ Organic growth จากธุรกิจหลักอยู่ที่ประมาณ
2,000 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน
และสร้างสถิติสูงสุดใหม่
จากแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการขายสินค้าที่มีมูลค่าสูง
เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีการเติบโตต่อเนื่อง
และกลุ่มที่มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มความยั่งยืน
หรือแพคเกจจิ้งที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ (Recyclable) ให้มากยิ่งขึ้นตามเทรนด์ในปัจจุบัน
พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ยกระดับ SFLEX และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครบวงจร
และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย
ไซรัส จำกัด (มหาชน) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” SFLEX ให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 5.10 บาท ประเมินจากผลประกอบการของ SFLEX ในงวด 6 เดือนแรกดีเกินคาด (กำไรปกติ 128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
40.6% จากปีก่อน) และคิดเป็น 57%
ของประมาณการทั้งปีเดิม ในขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลังยังสดใสทั้งไทยและเวียดนาม
จึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567-2569
ขึ้น +9%/+5%/-1%
ตามลำดับ โดยหลักมาจาก 1)
ปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิมที่คาดเฉลี่ยประมาณ 21.0% เป็น 24%
จากทิศทางของราคาน้ำมันและเม็ดพลาสติกที่เป็นขาลงชัดเจนมากขึ้น
ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี และการทยอยปรับราคาขายให้เหมาะกับต้นทุน 2) ปรับเพิ่มดอกเบี้ยจ่ายจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่อยู่ในระดับสูงยาวนาน 3) ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี และ 4)
ส่วนแบ่งกำไรจาก Starprint Vietnam ให้ conservative กว่าเดิม
อีกทั้ง ปี 2567 เป็นอีกปีที่สดใสสำหรับธุรกิจปลายน้ำอย่าง SFLEX
โดยคาดกำไรปกติเพิ่มขึ้น 33.9% จากปีก่อนเป็น 243 ล้านบาท
เป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เติบโตต่อเนื่องจากปี 2566
ที่โต 231.2% จากปีก่อน คาดในปี 2568
กำไรปกติขยายตัวต่อเนื่องประมาณ 7.6% จากปีก่อน และโตเล็กน้อยในปี 2569 จาก BOI ที่หมดลงเว้นเสียแต่ว่าบริษัทฯ
จะมีโครงการอื่นเพิ่มเติมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ต่อเนื่อง คิดเป็นกำไรเติบโตเฉลี่ย
3.4% CAGR ในช่วงปี 2567-2569
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น