KKP มองเห็น GDP ปี 2568 เหลือ 1.7% ชี้ปัญหาไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจไทยเท่านั้นหากไม่แก้ไข เชื่อโตต่ำกว่า 2% ถาวร - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

KKP มองเห็น GDP ปี 2568 เหลือ 1.7% ชี้ปัญหาไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจไทยเท่านั้นหากไม่แก้ไข เชื่อโตต่ำกว่า 2% ถาวร



 KKP Research ทัวร์ GDP ลงเหลือ 1.7% ในอดีตปี 2568 ลดลงจากการสำรวจก่อนหน้านี้ที่ 2.3% เป็นผลสะท้อนจากประชาคมเศรษฐกิจ ฯ ต่อส่วนการควบคุมของเศรษฐกิจโลกและการสูญเสียแน่นอนของการปฏิวัติโลกซึ่งส่งผลเสียและลงทุน เมื่อย้อนภาพย้อนกลับกว่านั้น ผู้เขียนในเศรษฐกิจไทยสูงเกินไปซึ่งจะเห็นความสำคัญสองประการคือ 1) เศรษฐกิจไทยที่ลงไม่ได้เป็นครั้งแรกเชิงองค์กรในระดับสูง 2) แน่นอนที่เพิ่ม สาเหตุของการยืดเยื้อต่อไปคือเศรษฐกิจระหว่างปีและเศรษฐกิจโตได้ที่คาด การวิจัยของ KKP ต้องการให้กล่าวถึงการอธิบายของเศรษฐกิจไทยในความจริงแล้วสาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากนโยบายภาษีของทรัมป์ แต่ปัญหาเชิงเชิงโครงสร้างที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง


เศรษฐกิจไทยไม่นับรวมภาคการท่องเที่ยวยังคงอยู่ในภาวะวิกฤติถดถอยไปแล้ว
เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 เป็นแรงส่งหลักจากภาคการท่องเที่ยวมาโดยตลอดตามฐานการท่องเที่ยวที่ความเข้มข้นต่ำที่ติดต่อ เนื่องว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ของไทยที่รวมสภาหรือการเมืองอยู่อย่างไร

เครื่องยนต์หยุดลงพร้อมกัน
ในปี 2568 สามองค์ประกอบหลักของเศรษฐกิจไทยทั้งภาคการท่องเที่ยวภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกำลังการใช้พลังงานลงพร้อมๆกัน คือ

1) แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวเพื่อพบกับประสบการณ์ โดยในช่วงแรกข้อมูลสะท้อนว่าการดูแลสุขภาพสำหรับทิศทางการเดินทางลงอย่างมีนัยยะสำคัญโดยเฉพาะบริเวณจีนที่กลับมาและนิยมไปเที่ยวประเทศอื่น ๆ เช่นญี่ปุ่น แทนการมาท่องเที่ยวไทย ตรวจสอบการท่องเที่ยวที่เคยเป็นแรงส่งแกนหลักเศรษฐกิจ (ประมาล 2-3ppt) นักท่องเที่ยวปี 2565 – 2567 จะเริ่มไม่ส่งต่อเศรษฐกิจไทยอีกครั้งโดย KKP ตรวจดูจำนวนแกนที่ 36.2 ผู้นำส่วนหน้าที่ 35.6 ผู้นำที่ 35.6 หรือโตขึ้นเพียง 6 แสนคนเท่านั้น และที่สำคัญได้

2) หอประชุมอุตสาหกรรมเครื่องเทศเชิงโครงสร้าง ในทิศทางติดลบมาโดยตลอดเลยโดยการเขียนลงไปในช่วงปลายปี 2565 โดยที่คุณรู้เรื่องนี้ขึ้นนิดหน่อยแต่มักจะขึ้นภาษีนำเข้าของสาธารณรัฐประชาชน ฯ จะเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมที่จะเห็นการที่ทุกคนในครอบครัวส่งผลเสียต่อสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหภาพโซเวียต ฯ หลัก

3) ลานเกษตรที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ ชัดสะท้อนจากข้อมูลในส่วนของเกษตรที่ถูกทำลายลงแรงโดยเฉพาะข้าวหลังอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวขาวติดลบเกือบ 30% ของอุตสาหกรรมแรกรายได้ที่รสชาติลงในภาคเกษตรจะส่งผลต่อเนื่องให้และอาหารในชะลอลง

3 โครงการเศรษฐกิจที่ชะลอลงทันทีเป็นรายงานสำคัญที่อาจเห็นเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 โตได้ต่ำลงเรื่อยๆ และสะท้อนว่าชะตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ได้เกิดจากนโยบายภาษีเป็นเรื่องสำคัญเรื่องเดียว

การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าโลกส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจที่อ่อนแอการค้ามักจะได้รับผลจากบางทีแน่นอนของนโยบายเพิ่มเติม KKP Research ประเมินว่าระดับความเข้มข้นที่ความเข้มข้น ฯ ฯ กับไทยและประเทศอื่นๆในโลกจะอยู่ที่ระดับ 10% ภายใต้ข้อพิจารณาที่เราพิจารณากับความเข้มข้นให้ลดอัตราภาษีนำเข้าได้ อัตราภาษีนำเข้ากับจีนที่เริ่มมีแนวโน้มว่าต้องคำนึงถึงการนำเข้าสามารถตรวจสอบได้และการควบคุมคุณภาพว่าประเทศอื่น ๆ

ภายใต้สถานการณ์นี้ผลกระทบจากภาษีต่อไทยจะต้องผ่าน 3 ช่องหลักรวมถึงผลกระทบโดยตรงต่อบางครั้งที่จุดประกายโดยเปิดตลาดของสินค้าบางกลุ่มให้กับความเข้มข้น ฯ และผลกระทบทางอ้อมจากภาวะโลกและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงต่อในไทย

  1. ผลกระทบทางตรงต่อประสิทธิภาพไปที่ความเข้มข้น ฯ บางครั้งบางครั้งอาจ ขึ้นภาษี 10% ต่อสินค้าส่งออกจากไทยไปยังร่างกาย KKP Research ประเมินว่า GDP ไทยอาจเก็บข้อมูลติดประกาศ 0.15
  2. เหตุผลในการพูดถึงอาจเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจบางภาคส่วนใน กรณีที่เป็นร้านอาหารไทยเปิดตลาดเกษตรส่วนใหญ่ของหมู เนื้อวัว และนมจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดย GDP เกษตรมีสัดส่วน 8-9% และหมู-ไก่ 1.3% แต่ภาคเกษตรยังคงดำเนินต่อไปในการบริโภคในชนบทโดยเฉพาะอย่างยิ่งมากกว่า 31% ของการจ้างงานทั้งหมด
  3. ผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกที่ห้องโถง KKP Research ประเมินว่าสำหรับทุกๆ ส่วนประกอบ GDP และ 1% จะหยุด GDP ไทยลดลงประมาณ 0.6%

กรรมการของเศรษฐกิจไทยจากประเด็นสงครามการค้าในปี 2568 ทิศทางเอียงไปทางด้านลบ บางครั้ง การเจรจาและระบบควบคุมภาษีที่อัตรา 36% หลังครบกำหนดผ่อนน้ำมัน 90 วันในขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกยังคงดำเนินต่อไปต่อเนื่อง KKP Research ประเมินว่า GDP ไทยในปี 2568 อาจลดลงเหลือเหลือเพียง 0.9%

ทำไมไทยจะไม่กลับมาโต 3% ?
KKP ประเมินภาพการวิจัยเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจในฝั่งเป็นผลว่าการพิจารณาเศรษฐกิจไทยย้อนกลับเติบโตที่ 3% ของการปฏิบัติตามกฎระเบียบภาษีนำเข้าของสหภาพโซเวียต ฯ อัยการรักษาระดับเศรษฐกิจให้ใกล้เคียง 3% ที่จะให้ความสนใจคือนั่นคือ

กรณีแรกๆ การท่องเที่ยวจะต้องเป็นไปตามนั้นปีละประมาน 7 – 10 ดูเหมือนช่วงที่จีนเข้ามาท่องเที่ยวไทยใหม่ หรือจำนวนที่รับชมที่เข้ามายังไทยต้องดูไปถึงประมาณ 70 ภายในปี 2573 เพื่อรองรับกับภาคอุตสาหกรรมที่สำรวจลง

กรณีสอง แผนกการผลิตไทยต้องกลับมาเติบโตเฉลี่ยปีละประมาน 5% เช่นเดียวกับในช่วงปี 2543 ส่วน การท่องเที่ยวจะก้าวกระโดดที่อาจยากเมื่อพิจารณาถึงภาคอุตสาหกรรมในช่วงหลังโควิดที่โตได้เฉลี่ยเพียง -0.59%

กรณีสุดท้าย ส่วนสำคัญๆ ของภาคเกษตรเป็นวิจารณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเพราะมีขนาดเล็กเกินไปเพียงประมาน 8% ของ GDP นอกจากนี้ ในปัจจุบันนี้ เกษตรที่เติบโตติดลบในปี 2568 หลังจากที่ข้าวไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับอินเดียข้าวได้

ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังคงอยู่ในภาวะผู้นำ
ภาพรวมต่างประเทศที่จุดอ่อนลงกลับมาเป็นว่าไทยรัฐในประเทศแทน การควบคุมดยช่วงวิกฤตสินเชื่อระบบควบคุมการควบคุมมาสำหรับกลุ่ม สาเหตุหลายสาเหตุ 1) หนี้เสียจากการปรับให้เห็นต่อเนื่องไปที่หนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยและ SME ที่สะท้อนความตรวจสอบของเศรษฐกิจ 2) หนี้ครัวเรือนในประสิทธิภาพการทำงานของงบดุลของภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ในสถาะและประเด็นที่เพิ่มขึ้น 3) สืบมาถึงปัจจุบันไม่เป็นระดับที่ผ่อนคลายและสนับสนุนคำถามธนาคาร

เศรษฐกิจไทยโตต่ำลงเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
การวิจัยของ KKP ชวนตั้งให้เป็นเศรษฐกิจไทย 3 ข้อคือ (1) ต่อปีของปี 2568 ต่อไปจะเป็นปีที่เหลือแรงส่งให้เศรษฐกิจเติบโตได้อีกครั้งและยากที่แต่ละภาคส่วนจะก้าวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิภาพการทำงานของ GDP โตต่ำกว่า 2% (2) ปริมาณของภาคเศรษฐกิจที่การลงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะปัจจัยขั้นต่ำเช่นภาษีของทรัมป์ที่จะเข้มข้นเอง (เช่นการสำรวจความสำเร็จ) ภาพปัญหาประจำปี (3) เกี่ยวกับภาพ เศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอจากครัวเรือนในเวลาที่โลกกำลังผ่านการดำเนินการของชาติาภิวัตน์ทำให้ไทยไม่เหลือแรงส่งจากในและต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกลับมาเป็นคำถามต่อผู้กำหนดนโยบายของไทยว่าเศรษฐกิจไทยจะโตต่อไปได้อย่างไรในช่วงนี้หลังจากนี้

การวิจัย KKP ประเมินว่าแดชบอร์ดต้องไม่ดำเนินการตามแนวทางแบบเดิม ๆ และควรมีการประสานด้านนโยบายภาพรวม ได้แก่ ทฤษฎีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด Abenomics เพื่อโภชนาการของภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างยืดเยื้อถูกจัดวางภายใต้กรอบ “รังสีสามดอก” รวมถึงแนวทางที่ผ่อนคลายที่เน้น กลุ่มเป้าหมายอัตราความร้อนของสภาแบบสำรวจและวิจารณ์โครงสร้าง นำเสนอรีวิวว่าเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ การตั้งค่านโยบายการเงินและคลังระบบสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของเศรษฐกิจได้หากไม่มีเชิงโครงสร้างพร้อมกันคู่กันไป

-
เกี่ยวกับกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เกิดขึ้นจากการร่วมกิจการระหว่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และธุรกิจตลาดทุนที่เป็นผลบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เคพีไดลิม จำกัด โดยกลุ่มธุรกิจฯ นำทรัพยากรสู่ลูกค้าสำรวจ สังเกต และประสิทธิภาพด้วยบริการที่เหนือความคาดหมาย
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ส่วนธุรกิจฯ ส่วนประกอบสินเชื่อบรรษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อสังหาริมทรัพย์สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีและสินเชื่อย่อยเช่นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์สินเชื่อเพื่อธุรกิจและสินเชื่อส่วนธุรกิจด้านตลาดส่วนบุคคลทุนธุรกิจฯ การลงทุนวานิชธนกิจ (วาณิชธนกิจ) นิตินายหน้าค้าหลักทรัพย์สำหรับการลงทุนสำนักงานวิจัยที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) การลงทุน (การลงทุนโดยตรง) ส่วนธุรกิจธุรกิจกองทุนติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kkpfg.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad