จากความร่วมมือของราชวิทยาลั ยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่ งประเทศไทยและสมาคมโรคเอดส์แห่ งประเทศไทย ขอแนะนำข้อต้องระวังหากจะใช้ ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์รั กษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพั นธุ์ใหม่ 2019 โดยยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (LPV/r) เป็นยาต้านไวรัส ที่ได้รับรองให้ใช้รักษาผู้ติ ดเชื้อเอชไอวีในสหรัฐอเมริกาตั้ งแต่ปีพ.ศ. 2543 ใช้ร่วมกับยาต้านเอชไอวีอีก 1-2 ชนิดในการรักษาผู้ติดเชื้ อเอชไอวี แต่ในปัจจุบันมีการใช้น้อยลงเนื่ องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียงมาก ที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย ผลข้างเคียงอื่นที่อาจพบได้คือ ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ผื่น ไขมันในเลือดสูง และมีความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้ าหัวใจ นอกจากนี้การรั บประทานในระยะยาวมีความสัมพันธ์ กับการเกิดเบาหวาน โรคหลอดเลือดหั วใจและภาวะไตวายเรื้อรัง
มีหลักฐานว่า LPV/r มีฤทธิ์ต่อไวรัสโคโรนาที่ทำให้ เกิดโรคซาร์สในหลอดทดลอง และมีข้อมูลในสัตว์ทดลองว่าใช้ รักษาลิงที่เป็นโรคซาร์สได้ผล ทั้งมีการศึกษาย้อนหลังในผู้ป่ วยที่เป็นโรคซาร์สแบบรุนแรงพบว่ ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับ LPV/r ตั้งแต่แรกมีอัตราการเสียชีวิ ตน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ยาหรื อได้ยาช้า เนื่องจากข้อจำกั ดของกระบวนการศึกษาวิจัยในปัจจุ บันยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า LPV/r ได้ผลในรักษาการติดเชื้อติดเชื้ อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ขณะนี้กำลังมีการทำการศึ กษาในประเทศจีนประมาณว่าจะมีข้ อสรุปเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ LPV/r ในการรักษาการติดเชื้อไวรั สโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในอีกประมาณ 6 เดือน
ถ้าจะมีการนำยานี้มาใช้รักษาผู้ ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ ใหม่ 2019 สิ่งที่แพทย์ ผู้ป่วยและญาติต้องทราบและพึ งระวังคือ
· LPV/r เป็นยาควบคุม ไม่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น
· ในปัจจุบัน ยาได้รับการรับรองสำหรับเป็นหนึ่ งในสูตรยาเฉพาะการรักษาผู้ติ ดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น ยังไม่มีการรับรองให้ใช้รั กษาการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น
· ควรมีการตรวจว่ามีการติดเชื้ อเอชไอวีหรือไม่ในผู้ป่วยที่ จะใช้ยา หากมีการติดเชื้อเอชไอวีอยู่ก่ อน การได้รับยา LPV/r เพียงตัวเดียว ก่อให้เกิดเชื้อเอชไอวีดื้ อยาได้ เนื่องจากได้รับยาเพียงชนิดเดี ยวไม่เพียงพอในการยับยั้งเชื้ อเอชไอวี
· มีข้อห้ามในการใช้ คือ ผู้ที่ความบกพร่องของตับอย่างรุ นแรง
· และที่สำคัญคือ การมีปฏิกิริยาระหว่าง LPV/r กับยาทั่วไปที่อาจพบได้บ่ อยและมีผลร้ายแรง
ยาที่ห้ามใช้ร่วมกันเด็ดขาดคือ ยาลดไขมันชนิดซิมวาสแตติ นและยากลุ่มเออร์กอตที่รั กษาไมเกรน
การให้ LPV/r ร่วมกับซิมวาสแตติน ทำให้ระดับยาซิมวาสแตตินสูงขึ้น เกิดภาวะการสลายตัวของกล้ามเนื้ อลาย อาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ พบเอนไซม์กล้ามเนื้อสูง อาจรุนแรงจนทำให้เกิ ดภาวะไตวายเฉียบพลันได้ ส่วนการให้ LPV/r ร่วมกับยากลุ่มเออร์กอต ทำให้ระดับยากลุ่มเออร์กอตสูงขึ้ น ทำให้หลอดเลือดส่วนปลาย เช่น แขนหรือขา หดตัวอย่างรุนแรง เกิดภาวะการขาดเลือดปลายนิ้วมื อเท้าเขียวคล้ำเนื้อเน่าตาย จนอาจต้องตัดนิ้วหรือถึงแก่กรรม ถ้าเป็นที่สมองทำให้ชักหรืออั มพาตหรือไม่รู้สึกตัวได้
ฉะนั้นหากจะมีการใช้ LPV/r เพื่อรักษาการติดเชื้อไวรั สโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แพทย์ ผู้ป่วยและญาติต้องรับทราบและมี ความรู้เกี่ยวกับประสิทธิ ภาพการรักษาและอาการไม่พึ งประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น