วัน แบงค็อก ชูวิสัยทัศน์ในการสร้างเมืองแห่งอนาคต
ผนึกกำลังภาครัฐ เอกชน และภาคการเงิน สู่ความยั่งยืนที่จับต้องได้
ในงาน Sustainability Expo 2025 ที่ผ่านมา วัน แบงค็อก ได้ จัดเวทีเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อหลัก "Planet Shift 2025: ฝ่าวิกฤตสู่เมืองแห่งอนาคต" โดยมีผู้นำจากภาครัฐ เอกชน และภาคการเงิน มาร่วมฉายภาพความร่วมมือในการขับเคลื่อนเมืองไปข้างหน้า พร้อมพลิกโฉมแนวคิดจากการ “ปรับตัว” เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง สู่การ “ออกแบบอนาคต” ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
พลิกโฉมแนวคิด "การปรับตัว" สู่การ "ออกแบบอนาคต"
เวทีเสวนาเริ่มต้นด้วยปาฐกถาในหัวข้อ “Shaping the Future of Resilience” โดย ดร. ยูเซฟ นาเซฟ Director of Adaptation Division at The United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) เน้นย้ำถึงสถานการณ์วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่โลกกำลังเผชิญ และชี้ให้เห็นว่าการรับมือไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังรวมถึง “ความยืดหยุ่น” ซึ่งท่านย้ำว่านี่คือ “การออกแบบอนาคต” ที่เราต้องการ โดยต้องคำนึงถึงความเป็นจริงทางนิเวศวิทยา ผสานกับพลวัตของเทคโนโลยี และการคำนึงถึงผลกระทบ และผลประโยชน์ในระยะยาวอย่างรอบคอบ มากกว่าให้ความสำคัญแค่ระยะสั้น โดยคำนึงถึงภาพรวม และ การแลกเปลี่ยน (Trade off) ที่จะต้องเสียไป ท่านยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการผสานรวมความรู้จากหลากหลายแหล่ง ทั้งวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาดั้งเดิม ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่ว่า “อนาคตไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา แต่เราคือผู้สร้างอนาคต” (The future does not happen to us. We happen to the future.) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสู่เมืองแห่งอนาคต
สถาปนิกแห่งอนาคต – สร้างสรรค์เมืองด้วยวิสัยทัศน์ที่ยั่งยืน
จากนั้น เป็นช่วงสนทนาพิเศษ “The Future-Proof Paradigm: เส้นทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน” โดย ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ได้สะท้อนมุมมองของภาคเอกชนต่อการพัฒนาเมืองแห่งอนาคต ที่ไม่ได้มองเพียงการเติบโตทางกายภาพของเมือง แต่ให้ความสำคัญกับ “วิธีคิด” ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างสมดุล
แนวคิด “พอดี มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน” ซึ่งต่อยอดจากหลักคิดของความพอเพียง ถูกหยิบยกขึ้นเป็นรากฐานของการพัฒนา โดยมองว่าความพอเพียงไม่ใช่การหยุดนิ่ง แต่คือการเติบโตอย่างมีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกัน เป็นสมดุลระหว่างความก้าวหน้าและการรักษา ซึ่งเป็นหัวใจของความยั่งยืนในระยะยาว
การพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนเริ่มจากการมองเห็นความเชื่อมโยงของทุกสิ่งรอบตัว เมือง ผู้คน และสิ่งแวดล้อมล้วนพึ่งพาและส่งต่อคุณค่าซึ่งกันและกัน เมื่อสิ่งหนึ่งเติบโต อีกสิ่งหนึ่งก็ขยับไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกัน ความยั่งยืนจึงไม่ใช่เป้าหมายปลายทาง แต่คือกระบวนการของการเติบโตที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
แนวคิดนี้ถูกถ่ายทอดให้เห็นผ่านการพัฒนา วัน แบงค็อก ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่คือพื้นที่ที่หลอมรวมชีวิตเมืองอย่างกลมกลืน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างเมืองที่เติบโตอย่างมั่นคงและมีคุณค่าร่วมกันในระยะยาว สอดคล้องกับเจตจำนงของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ในการ “สร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)”
ปิดท้ายด้วยการเสวนาแบบ Panel Discussion ในหัวข้อ Sufficiency in City Development: Private & Public Sectors Undertaking ที่สะท้อนแนวคิด “ความพอเพียง” ในมิติการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน โดยมีผู้แทนจากทั้งภาครัฐ เอกชน และการเงินมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองโดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืน กรุงเทพมหานคร ได้กล่าวถึงการนำแนวคิดความพอเพียงมาปรับใช้ในระดับเมือง เพื่อให้กรุงเทพฯ เติบโตอย่างสมดุลระหว่างการพัฒนา และการอนุรักษ์ทรัพยากรสำหรับคนรุ่นต่อไป โดยเน้นการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการรณรงค์และให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ดร.จิระวัฒน์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Vice President ฝ่ายผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ที่ได้ให้มุมมองจากภาคการเงิน โดยเน้นย้ำว่า “เมืองที่พอเพียง” ต้องยืนอยู่บนฐานเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดีควบคู่กัน ซึ่งธนาคารกรุงเทพได้สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจมาโดยตลอด และปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนสีเขียวมากขึ้น ซึ่งเป็นการสนับสนุนการลงทุนในกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดคาร์บอน และนำไปสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Paris Agreement ได้ (การควบคุมอุณหภูมิไม่เกิน 1.5 องศา) และ อุรเสฏฐ นาวานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการลงทุน โครงการ วัน แบงค็อก ที่ได้กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับ การลงทุนอย่างพอเพียง โดยมุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมส่งเสริม การลงทุนสีเขียว ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้ดำเนินไปภายใต้หลัก “ความสมดุล” และ “ความรับผิดชอบ” ต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
วัน แบงค็อก กับการลงทุน “สีเขียว” ที่สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน
อุรเสฏฐได้นำเสนอแนวคิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่คำนึงถึงความพอเพียงและความยั่งยืน เห็นได้จากโครงการ วัน แบงค็อก ซึ่งมุ่งใช้ทรัพยากรที่ดินใจกลางเมืองอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งคืนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ถึง 25 ไร่ให้กับเมือง นอกจากนี้ ยังมีการวางโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งเสริมการ ใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ การเชื่อมต่อทางด่วนเพื่อลดปัญหาจราจร และการสร้างระบบสาธารณูปโภคที่ประหยัดพลังงานและน้ำ เช่น ระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 15% และระบบรีไซเคิลน้ำ ที่ช่วยประหยัดน้ำประปาได้เกือบ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี พร้อมชี้ให้เห็นว่าการลงทุนในโครงการสีเขียวจะช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่มักจะเลือกอาคารสีเขียวเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ การเป็นโครงการสีเขียวยังช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Financing) ได้ง่ายขึ้น
บทสรุป: ผนึกกำลังเพื่ออนาคตที่สดใส
จากบทสนทนาเหล่านี้ เราได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความร่วมมืออันแข็งแกร่งจากทุกภาคส่วนในการสร้างเมืองแห่งอนาคต ที่ไม่ใช่แค่สวยงามและเจริญก้าวหน้า แต่ยังคงไว้ซึ่งความพอเพียง ความยั่งยืน และความสมดุลที่ดีระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากกรอบความคิดที่ถูกต้อง การลงมือทำอย่างต่อเนื่อง และการผนึกกำลังกันเพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ "พอเพียงยั่งยืนเพื่อโลก" ที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น