วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เป็นประธานการประชุ
- เศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่
องและมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่ คาด เศรษฐกิจโลกมีความผกผันและเต็ มไปด้วยความไม่แน่นอน ล่าสุด OECD ประเมินว่า GDP ของโลก จะเติบโตเพียงประมาณ 3.0% ในปี 2566 และเพียง 2.7% ในปี 2567 โดยที่ปัญหาทางเศรษฐกิจของจี นจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่ อประเทศในภูมิภาคเอเชีย ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปมีแนวโน้มยังอยู่ในทิ ศทางชะลอตัวสะท้อนจากดัชนีผู้จั ดการฝ่ายจัดซื้อทั้งภาคบริ การและภาคการผลิต ส่งผลให้การส่งออกไทยในช่วงที่ เหลือของปีนี้เผชิญความเสี่ ยงจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ฟื้ นตัวได้ช้า - ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่
องจากทั้งปัจจั ยภายนอกและภายในประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าตามทิศทางเงิ นดอลลาร์ที่แข็งค่าเนื่ องจากเฟดมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ ยไว้ในระดับสูงที่นานกว่าคาด ประกอบกับเศรษฐกิจจีนที่แผ่ วลงในช่วงนี้ส่งผลให้ค่าเงิ นหยวนและค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเซียอ่อนค่าต่อเนื่ อง ขณะที่ค่าเงินบาทยังมีปัจจั ยภายในประเทศจากความกั งวลในการดำเนินนโยบายกระตุ้ นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ต้องใช้ เงินจำนวนมาก และมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น ทั้งนี้แม้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่ าค่อนข้างเร็วในเดือนกันยายน แต่โดยรวมยังสอดคล้องกับค่าเงิ นในภูมิภาคในช่วง 9 เดือนแรกของปี - เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้
ในกรอบ 2.5 - 3.0% คาดว่ามาตรการวีซ่าฟรีของภาครั ฐจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ ยวในช่วง high season โดยจะมีส่วนช่วยให้นักท่องเที่ ยวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นราว 3.4 แสนคน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่ างชาติมีแนวโน้มแตะระดับ 29 - 30 ล้านคนในปีนี้ ภายใต้การบริหารจัดการเรื่ องความปลอดภัยและเร่งสร้ างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ ยวต่างชาติในช่วงที่กำลังเข้าสู่ ฤดูการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดียังต้องติ ดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศ (เอลนีโญ) ที่จะมีผลกระทบต่อภาคการเกษตร รวมถึงราคาพลังงานในตลาดโลกที่ มีทิศทางสูงขึ้นซึ่งอาจจะมีผลต่ อราคาพลังงานในประเทศหลังจากช่ วงการลดราคาตามนโยบายของรัฐสิ้ นสุดลง
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ของ กกร.
%YoY | ปี 2566 (ณ ส.ค. 66) | ปี 2566 (ณ ก.ย. 66) | ปี 2566 (ณ ต.ค. 66) |
GDP | 3.0 ถึง 3.5 | 2.5 ถึง 3.0 | 2.5 ถึง 3.0 |
ส่งออก | -2.0 ถึง 0.0 | -2.0 ถึง -0.5 | -2.0 ถึง -0.5 |
เงินเฟ้อ | 2.2 ถึง 2.7 | 1.7 ถึง 2.2 | 1.7 ถึง 2.2 |
- ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร. ยังจะได้จัดเตรียมข้
อเสนอทางเศรษฐกิจไปยังรัฐบาลชุ ดใหม่ และขอให้มีการรื้อฟื้นการประชุ มคณะกรรมการร่วมภาครั ฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปั ญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.กลาง) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยเสนอให้รัฐบาลจัดประชุมทุก ๆ 3 เดือน เพื่อเป็นเวทีนำเสนอความเห็ นและแนวทางการขับเคลื่อนระหว่ างรัฐบาลกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิ ด และเร่งดำเนินการแก้กฎหมายที่ เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกั บสถานการณ์ปัจจุบัน (Regulatory Guillotine) โดยจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้มีผลสัมฤทธิ์ได้อย่ างรวดเร็ว นอกจากนี้ กกร. ยังมีการหารือในประเด็นสำคัญเพิ่ มเติม ได้แก่
1. การช่วยเหลือ SME ให้เข้าถึงสินเชื่อมีความจำเป็นมากกว่าการพักชำระหนี้ เนื่องจาก SME ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังฟื้นตัวได้ช้าและยังเข้าถึ งสินเชื่อได้ไม่เต็มที่ เห็นได้จากยอดสินเชื่อ SME ที่ยังหดตัว และการสำรวจความเห็นของ SME โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิ จขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่พบว่าต้องการเข้าถึงสินเชื่ อมากกว่าการพักชำระหนี้ โดยควรสนับสนุนผลักดันให้กิ จการของ SME สามารถมีความพร้อมรองรั บโอกาสจากเศรษฐกิจที่กำลังเข้ าสู่ High Season ของภาคการท่องเที่ยวในช่ วงปลายปีนี้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ของรัฐบาลด้วยเม็ดเงินถึง 5.6 แสนล้านบาทในช่วงต้นปีหน้า โดยที่ประชุมกกร.เสนอให้รั ฐบาลใช้กลไกของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุ ตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายการค้ำประกันสินเชื่อให้ SME เพิ่มอัตราการค้ำประกันจาก 30% เป็น 50-60% โดยบูรณาการการใช้กองทุนของ สสว. เป็นองค์รวม ช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำ ประกันสินเชื่อ เพื่อลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึ งแหล่งเงินทุนของ SME
2. ที่ประชุม กกร. สนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.6 แสนล้านบาท แต่เสนอว่า ควรจำกัดเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ และจำกัดพื้นที่ในการใช้งาน เพื่อก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิ จทวีคูณ (Multiplier)มากกว่า โดยสนับสนุนการใช้จ่ายสินค้าที่ ผลิตในประเทศ (Local Content) หากสามารถควบคุมวงเงินให้ เหมาะสมจะมีวงเงินไปลงทุนเรื่ องการบริหารจัดการน้ำด้วยซึ่ งเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิ จไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงักและเป็ นไปตามเป้าหมาย มุ่งเน้นให้การเติบโตเป็นไปอย่ างต่อเนื่อง
3. การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศควรใช้ กลไกของคณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้ กำหนดแนวทาง เพื่อให้เป็ นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ เศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด เนื่องจากบริบทและศักยภาพของแต่ ละจังหวัดแตกต่างกัน ซึ่งการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ควรเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน (มาตรา 87 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ซึ่งได้กำหนดปัจจัยในการพิ จารณาการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ อาทิ เงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิต ฯลฯ)
4. ผลักดันการเจรจาข้อตกลงทางการค้า FTA ระหว่างไทยกับต่างประเทศให้ มากที่สุด โดยเร่งผลักดันการเจรจา FTA ที่ดำเนินการอยู่ให้แล้วเสร็ จตามกรอบเวลา ทั้ง ไทย – EU, ไทย - ศรีลังกา, ไทย - EFTA และเปิดการเจรจาจั ดทำความตกลงเขตการค้าเสรี FTA ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ๆ และเปิดการเจรจาจั ดทำความตกลงเขตการค้าเสรี FTA ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ และละตินอเมริกา ตลอดจน FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้แล้ วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อส่งเสริมและเยียวยาผู้ที่ ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี ทางการค้า เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและเพิ่ มขีดความสามารถในการแข่งขั นไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
5. ที่ประชุม กกร. เห็นควรให้รัฐบาลสนับสนุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC เพื่อดึงดูดการลงทุนต่อเนื่อง โดยมีประเด็นสำคัญที่จะต้องขั บเคลื่อนต่อเนื่อง ตามร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนา EEC ระยะที่ 2 บริบทการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อ EEC การจัดกลุ่ม Cluster อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะ (2566 - 2570) ตาม 5 แนวทาง ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุ ตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่ งอนาคต 2) เพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภค 3) ยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมต่ อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวั ตกรรม 4) พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยน่ าอยู่อาศัยและเหมาะสมกั บการประกอบอาชีพ และ 5) เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ ความยั่งยืนของชุมชน โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในพื้ นที่ EEC ให้มีความเพียงพอต่อการใช้ งานในภาคอุตสาหกรรมและเป็ นการสร้างความมั่นใจถึงความพร้ อมกับนักลงทุนต่างชาติ
6. เร่งรัดแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในปี 2566 ปริมาณน้ำใช้ได้จริง ณ เดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 54 % ซึ่งต่ำกว่าระดับในช่วงเดียวกั นของปี 2565 ที่อยู่ที่ระดับ 66 % หากภาวะเอลนีโญ่มีความรุนแรง ปริมาณฝนที่ตกจะยิ่งต่ำกว่าค่ าปกติ จะส่งผลให้ปริมาณน้ำใช้การได้ยิ่ งน้อยลงและทำให้ความเสี ยหายจากภัยแล้งทวีความรุ นแรงและจะกระทบเป็นวงกว้าง ดังนั้น ภาคเอกชน จึงขอให้รัฐบาลบูรณาการการดำเนิ นงานของกลไกภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็ นไปในทิศทางเดียวกัน สามารถจัดสรรน้ำสำหรับการอุ ปโภคบริโภคโดยเฉพาะในพื้นที่เป้ าหมายสำคัญ เช่น EEC และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- ขอให้เร่งรัดพัฒนาแหล่งเก็บน้ำ
ที่สำคัญ เพื่อกักเก็บสำรองให้กับพื้นที่ ภาคตะวันออก เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด รวมทั้งจัดตั้งคณะกรรมการบริ หารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC รวมถึงทบทวนแผนทรัพยากรน้ำ 20 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่ งน้ำใหม่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก - โดยสรุปภาคเอกชนเห็นพ้องว่
าประเด็นการบริหารจัดการน้ำเป็ นสิ่งสำคัญเร่งด่วน รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญกั บการจัดสรรงบประมาณบริหารจั ดการน้ำทั้งระยะสั้นและระยาว โดยอาจพิจารณาใช้งบประมาณบางส่ วนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิ จไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงักและเป็ นไปตามเป้าหมาย
7. ผลักดันแนวทางการทำ Carbon credit ให้สามารถเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล และสามารถทำการค้ากับต่ างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะมี การกำหนดบทบาทของภาคเอกชนในการเ ตรียมความพร้อม โดยสภาหอการค้าฯ เน้นภาคการค้า เกษตรและบริการ สภาอุตสาหกรรมฯ เน้นภาคการผลิต และสมาคมธนาคารไทยจะเข้ามาสนั บสนุนภาคการเงิน เพื่อให้เกิดรูปแบบที่ชั ดเจนและสามารถขับเคลื่อนมาตรการ Carbon credit และสามารถแก้ปัญหามาตรการปรั บคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปได้ตรงจุด ลดผลกระทบให้กับผู้ส่งออกไป EU
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น