สรท. วอนรัฐเร่งกระจายวัคซีน เร่งการเติบโตส่งออกไทย - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

สรท. วอนรัฐเร่งกระจายวัคซีน เร่งการเติบโตส่งออกไทย

 


วันที่ 6 ก.ค. 2564 เวลา 10.30-12.00 น. ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) แถลงข่าวร่วมกับ นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธาน สรท. และนายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สรท. ระบุ การส่งออกเดือนพฤษภาคม 2564 มีมูลค่า 23,057 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 41.59% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การส่งออกในรูปเงินบาทเท่ากับ 714,885 ล้านบาท ขยายตัว 36.22% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2564 มีมูลค่า 22,261 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 63.54% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) และการนำเข้าในรูปของเงินบาทมีมูลค่า 699,918 ล้านบาท ขยายตัว 57.50% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ เดือนพฤษภาคม 2564 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 795 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 14,967 ล้านบาท (การส่งออกเมื่อหักทองคำ น้ำมันและอาวุธยุทธปัจจัย เดือนพฤษภาคม การส่งออกขยายตัวร้อยละ 45.87)

ภาพรวมช่วงเดือนม.ค. - พ.. ปี 2564 ไทยส่งออกรวมมูลค่า 108,635 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 10.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็นมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทที่ 3,279,410 ล้านบาท ขยายตัว 7.64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 107,141 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 21.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า  3,280,010 ล้านบาทขยายตัว 18.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ช่วงเดือน ม.ค.- พ.ค. 2564 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 1,494 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และขาดดุล 600 ล้านบาท (การส่งออกเมื่อหักทองคำและน้ำมันน้ำมันและอาวุธยุทธปัจจัย เดือนม.. – พ.ค. การส่งออกขยายตัว 17.13%)

ทั้งนี้ สรท. คาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2564 เติบโตมากกว่าร้อยละ 7 และมีโอกาสเติบโตถึงร้อยละ 10 (ณ เดือนกรกฎาคม 2564) โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญในปี 2564 ได้แก่ 1) การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก 1.1) การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายตามปกติ 1.2) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (world PMI index) ที่อยู่ระดับมากกว่า 50 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง 2) ค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า จากปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศไทยที่มีความรุนแรงซึ่งส่งผลลบมุมมองเศรษฐกิจไทย ปี 2564 รวมถึงการแข็งค่าโดยเปรียบเทียบของดอลลาร์สหรัฐ จากการเตรียมยกเลิกนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐ จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตอย่างมากของเศรษฐกิจสหรัฐ 3) ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงถึงระดับ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจากแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ทั่วโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2564 ได้แก่ 1) แรงงานขาดแคลน เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวทำให้ความต้องการแรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น แรงงานต่างด้าวเดินทางกลับประเทศและยังไม่ได้เดินทางกลับเข้ามาจากการปิดประเทศ ประกอบกับปัจจุบันจำนวนวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย ยังไม่สามารถจัดสรรให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานในภาคการผลิตเท่าที่ควร ยิ่งซ้ำเดิมปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น 2) สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ อาทิ กรณีคลัสเตอร์การระบาดในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในประเทศ เริ่มส่งกระทบต่อกระบวนการผลิตที่ต้องหยุดชะงักชั่วคราวและการเลื่อนส่งมอบสินค้าไปยังประเทศปลายทาง สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่อาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าเดิมดังจะเห็นได้จากการปรับประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศ (GDP) ลดลงจากร้อยละ 3.0 เหลือ 1.8 ในปี 2564 3) ปริมาณปัจจัยการผลิตที่ไม่เพียงพอและมีต้นทุนเพื่มสูงขึ้น 3.1) สถานการณ์ชิปขาดแคลนที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลกระทบโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่หยุดผลิตในบางรุ่นไปถึง 1 เดือน และคาดว่าจะส่งผลต่อยอดการผลิตรถยนต์ของโลกปีนี้ประมาณ 4 ล้านคัน จากปริมาณผลิตทั้งหมด 78 ล้านคัน ซึ่งประเทศไทยอาจจะได้รับผลกระทบประมาณ 10% รวมถึงต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ โทรทัศน์ และ Smart phone 3.2) ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับสูง เนื่องด้วยปริมาณอุปสงค์การใช้เหล็กที่เพิ่มสูงตามทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก ประกอบกับจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก มีนโยบายควบคุมโรงงานเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานปล่อยมลพิษในเมืองถังซานทำให้ปริมาณอุปทานไม่เพียงพอ ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกี่ยวเนื่องที่เพิ่มสูงขึ้น อาทิ วัตถุดิบผลิตกระป๋อง รถยนต์ เครื่องไฟฟ้า แผงโซลาร์ เป็นต้น 3.3) ปริมาณสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกไม่เพียงพอ อาทิ น้ำตาลทราย จากปริมาณอ้อยที่ลดลงต่อเนื่องจากเดิมสูงสุดถึง 130 ล้านตันเหลือเพียง 66 ล้านตันในรอบปี 2563/64 เนื่องจากเกษตรกรเริ่มหันไปปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน อาทิ มันสำปะหลัง และข้าวโพด เหตุด้วยราคาอ้อยในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำมานานและภาวะภัยแล้ง 4) ปัญหาตู้สินค้าขาดแคลนและอัตราค่าระวางที่ทรงตัวในระดับสูง 4.1) การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และ Space Allocation เนื่องด้วย Port congestion ณ ท่าเรือต้นทาง / Transshipment port และ ท่าเรือปลายทางโดยเฉพาะเส้นทางสหรัฐ ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีการจองระวางเรือล่วงหน้ามากกว่า 2 สัปดาห์ ประกอบกับสายเรือเริ่มมีการทำ blank sailing ในบางเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยง Congestion ส่งผลกระทบต่อการขาดแคลน Space และ ตู้คอนเทนเนอร์ให้รุนแรงมากขึ้น สายเรือยังคงมีการจัดสรรตู้คอนเทนเนอร์ (Space allocation) ส่วนใหญ่ให้กับจีนและเวียดนาม เนื่องจากมีความสามารถในการจ่ายค่าระวางในอัตราที่สูงกว่าประเทศไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยประสบปัญหาการขาดแคลน Space เป็นอย่างมาก 4.2) ค่าระวางที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น เกือบทุกเส้นทางโดยเฉพาะเส้นทางสหภาพยุโรป และสหรัฐ เนื่องด้วยปริมาณการขนส่งทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อาทิ Peak season surcharge (PSS) ซึ่งเป็นต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น เป็นต้น

ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย วิงวอนให้รัฐบาลดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อเร่งฉีดวัคซีคให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะแรงงานภาคการผลิตให้เร็วที่สุด เนื่องจากวัคซีนเป็นเครื่องป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 อย่างเดียวที่สามารถช่วยภาคการส่งออกและภาคการผลิตซึ่งเป็นซัพพลายเชนของการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจเดียวที่ยังเดินหน้าต่อไปได้ให้สามารถฟื้นตัวและสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศให้ยังอยู่รอดได้ต่อไป.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad