1 มีนาคม 2567 – เจค แน็ปป์, ฮิเดกิ มัตสึยาม่า, นิค เทย์เลอร์ และวินด์แฮม คลาร์ก โชว์ฟอร์มโดดเด่นสร้างสถิติที่น่าจดจำในเวทีการแข่งขันพีจีเอทัวร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (ภาพ: Getty Images)
แน็ปป์ ประเดิมแชมป์แรกที่เม็กซิโก
ไมใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับ เจค แน็ปป์ โปรกอล์ฟชาวอเมริกัน แม้เข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายโดยมีสกอร์นำห่างคู่แข่ง 4 สโตรก ในรายการเม็กซิโก โอเพ่น ที่วิลันต้า และยิ่งท้าทายเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเขากำลังลงแข่งในศึกพีจีเอทัวร์ เพียงแค่รายการที่ 9 เท่านั้น แถมไดรเวอร์ก็ไม่เป็นใจอีกด้วย
แต่โปรกอล์ฟวัย 29 ปีจากแคลิฟอร์เนีย ยืนหยัดต่อสู้ตลอดทั้งวัน ก่อนคว้าชัยเหนือ ซามี่ วาลิมากิ รุกกี้ของพีจีเอทัวร์จากฟินแลนด์ หนึ่งสโตรก โดยในรอบสุดท้าย แน็ปป์ที่ขึ้นนำหลังตี 64-63 ในรอบที่สองและรอบที่สาม ไดรฟ์เข้าแฟร์เวย์แค่ 2 หลุม และตีออนเพียง 9 หลุมเท่านั้น สถิติความแม่นแฟร์เวย์แค่ 15.38 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นตัวเลขสถิติที่ต่ำที่สุดของตำแหน่งแชมป์พีจีเอทัวร์นับตั้งแต่ปี 1983
อย่างไรก็ตาม สถิติของแน็ปป์ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด ตลอดสัปดาห์ เขาเป็นนักกอล์ฟที่มีสถิติทำเบอร์ดี้สูงที่สุด 25 เบอร์ดี้ โดยเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นในสามรอบแรก ขณะที่รอบสุดท้ายทำได้ 2 เบอร์ดี้ นอกจากนี้เขายังรั้งอันดับ 1 สถิติ Strokes Gained: Tee to Green +11.40 และ Strokes Gained: Approach the Green +8.729 และรั้งอันดับ 5 ตีกรีนส์อินเรกูเลชั่น และอันดับ 2 ตีไกล
ดังนั้นแม้สถิติบางอย่างไม่โดดเด่นนัก แต่แน็ปป์ก็สามารถคว้าชัยชนะได้สำเร็จ และกลายเป็นผู้เล่นรายที่สามในซีซั่นนี้ที่คว้าแชมป์ครั้งแรกในอาชีพ ซึ่งเท่ากับยอดรวมทั้งหมดของฤดูกาลที่แล้ว
มัตสึยาม่า ครองแชมป์พีจีเอทัวร์รายการที่ 9 ที่เจเนซิส
ฮิเดกิ มัตสึยาม่า เจอความท้าทายครั้งสำคัญในการแข่งขันรอบสุดท้ายที่สนามริเวียร่า คันทรีคลับ ด้วยสกอร์ตามหลังผู้นำ 6 สโตรก ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียง ไมค์ เวียร์ ที่ตามหลังมากกว่าแล้วพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าแชมป์ได้ในปี 2003
ทว่าโปรกอล์ฟวัย 32 ปีจากญี่ปุ่น มีเกมการเล่นที่ดีพอสำหรับการสร้างประวัติศาสตร์ในวงการกอล์ฟ ที่ชัดเจนคือแชมป์เดอะ มาสเตอร์ส ปี 2021 และเขาสามารถทำได้อีกครั้ง เมื่อระเบิดฟอร์มตี 9 อันเดอร์พาร์ 62 ในรอบสุดท้ายของการแข่งรายการเจเนซิส อินวิเตชั่นแนล แซงหน้าคว้าชัยเหนือคู่แข่ง 3 สโตรก ผงาดครองแชมป์พีจีเอทัวร์รายการที่ 9 ในอาชีพ กลายเป็นนักกอล์ฟเอเชียที่ได้แชมป์พีจีเอทัวร์มากที่สุด แซงหน้า เค.เจ. ชอย ตำนานโปรกอล์ฟจากเกาหลีใต้
ผลงาน 9 อันเดอร์พาร์ ของมัตสึยาม่า เป็นสถิติการทำสกอร์ต่ำสุดในรอบสุดท้ายของตำแหน่งแชมป์รายการเจเนซิส อินวิเตชั่นแนล ดีกว่า ดัก ทีเวลล์ แชมป์ปี 1983 หนึ่งสโตรก และถือเป็นครั้งที่ 9 ที่โปรหนุ่มจากญี่ปุ่นปิดฉาก 18 หลุมสุดท้ายโดยไม่เสียโบกี้ นับตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาล 2020-2021 โดยมีนักกอล์ฟเพียงสองคนที่ทำได้เหนือกว่าคือ คริส เคิร์ก 11 ครั้ง และแคม เดวิส 10 ครั้ง
ตัวแปรสำคัญในรอบสุดท้ายคือ มัตสึยาม่าทำคะแนนมากสุดจากการแอพโพรช 50 หลาขึ้นไป โดยมี Strokes Gained: Approach the Green +2.84 เฉพาะในรอบสุดท้าย ดีกว่าที่เขาทำได้ในสามรอบแรกรวมกัน -.40 Strokes Gained: Total +8.471 ในรอบสุดท้าย ก็ถือเป็นสถิติที่ดีที่สุดของตำแหน่งในพีจีเอทัวร์ นับตั้งแต่รอรี่ แม็คอิลรอย ได้แชมป์รายการอาร์บีซี แคนาเดียน โอเพ่น
เทย์เลอร์ ชนะเพลย์ออฟคว้าแชมป์ฟีนิกซ์ โอเพ่น
นิค เทย์เลอร์ ทำผลงานได้โดดเด่นอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้โชว์ช็อตมหัศจรรย์พัตต์อีเกิ้ลระยะ 72 ฟุตในการดวลเพลย์ออฟหลุมที่ 4 ผงาดคว้าแชมป์อาร์บีซี แคนาเดียน โอเพ่น เมื่อช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ ในการแข่งขันรายการดับเบิลยูเอ็ม ฟีนิกซ์ โอเพ่น เทย์เลอร์ทำได้เยี่ยมในรอบสุดท้ายและชนะคู่แข่งในการดวลเพลย์ออฟ 2 หลุม คว้าแชมป์พีจีเอทัวร์รายการที่ 4 ในอาชีพสำเร็จ
เทย์เลอร์ มีสกอร์ตามหลังผู้นำ 3 สโตรก ขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 4 หลุม และฟอร์มการพัตต์มาได้ถูกจังหวะ เขาทำ 3 เบอร์ดี้ใน 4 หลุมสุดท้าย รวมถึงการพัตต์เบอร์ดี้ระยะ 9 ฟุตในหลุมที่ 18 ได้ไปเพลย์ออฟลุ้นแชมป์กับ ชาร์ลี ฮอฟฟ์แมน โดยตลอดสัปดาห์ เทย์เลอร์ มีสถิติทำแต้มดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มนักกอล์ฟที่ลงแข่งในรายการนี้ 2.38 สโตรกต่อรอบ ดีกว่าแชมป์ดับเบิลยูเอ็ม ฟีนิกซ์ โอเพ่น คนอื่นๆ นับตั้งแต่ปี 1983
เมื่อนับรวมกับเพลย์ออฟ 2 หลุม เทย์เลอร์ ทำไป 5 เบอร์ดี้ใน 6 หลุมสุดท้าย และเคล็ดลับแห่งชัยชนะของเขามาจากพัตเตอร์ อย่างแท้จริงเมื่อดูจาก Strokes Gained: Putting +8.93 และมีสถิติพัตต์รวมระยะ 459 ฟุต 10 นิ้ว ตลอดสัปดาห์ มากกว่าที่เขาทำได้ในทุกรายการในพีจีเอทัวร์
โปรกอล์ฟหนุ่มวัย 35 ปีจากแคนาดา ยังมีสถิติที่ยอดเยี่ยมในหลุมพาร์ 4 ทำแต้มได้ 13 อันเดอร์พาร์ เป็นสถิติที่ดีที่สุดของตำแหน่งแชมป์ที่สนามทีพีซี สก็อตต์สเดล ในยุคชอตลิงค์ 7 เบอร์ดี้เกิดขึ้นในรอบแรก และทำสถิติสนามตี -60 มีสถิติการพัตต์ลง 92.31 เปอร์เซนต์ ดีกว่าแชมป์ดับเบิลยูเอ็ม ฟีนิกซ์ โอเพ่น คนอื่นๆ
คลาร์ก พลาดการทำ “แมจิกนัมเบอร์” 59 ก่อนคว้าชัยที่เพ็บเบิลบีช
ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ บรรดาโปรกอล์ฟที่ร่วมชิงชัยตระหนักดีว่ารอบที่สามของการแข่งขันรายการ เอทีแอนด์ที เพ็บเบิลบีช โปร-แอม อาจเป็นรอบสุดท้ายสำหรับพวกเขา และวินด์แฮม คลาร์ก ก็ทำผลงานรอบที่สามได้อย่างยอดเยี่ยม ตีเข้ามาด้วยสกอร์ 12 อันเดอร์พาร์ 60 เป็นสถิติที่ดีที่สุดตลอดการต่อรอบของสนามเพ็บเบิลบีช กอล์ฟ ลิงค์ส คว้าแชมป์ไปครองโดยเฉือนชนะคู่แข่งเพียงสโตรกเดียว เมื่อต้องยกเลิกรอบสุดท้าย ตัดสกอร์ที่ 54 หลุมเนื่องจากเจอพายุถล่ม และลมแรงจนไม่สามารถแข่งขันได้
คลาร์ก ซึ่งคว้าแชมป์ได้ถึง 3 รายการในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงรายการเมเจอร์ ยูเอส โอเพ่น 2023 ออกสตาร์ทการแข่งขันรอบที่สาม โดยมีสกอร์ตามหลังผู้นำ 6 สโตรก และแม้มาสะดุดเสียโบกี้ที่หลุม 12 หลังจากทำสถิติหรูเริ่มต้นด้วยอีเกิ้ลตามด้วยการเก็บ 5 เบอร์ดี้ติดต่อกัน โปรกอล์ฟจากโอเรกอน ยังมีโอกาสทำสกอร์ 59 สโตรก ที่หลุม 18 พาร์ 5 เมื่อได้พัตต์อีเกิ้ล แต่ให้ระยะการพัตต์สั้นไปเพียง 7 นิ้ว ปิดฉากด้วยเบอร์ดี้ พลาดการทำ “แมจิกนัมเบอร์” เพียงสโตรกเดียว
ถือเป็นการพลาดบนกรีนที่เกิดขึ้นน้อยมากสำหรับคลาร์ก ซึ่งมีสถิติการพัตต์รวมระยะ 189 ฟุต 10 นิ้ว ในรอบสุดท้าย เป็นสถิติที่ดีที่สุดต่อรอบในการแข่งขันที่เพ็บเบิลบีช และในอาชีพของโปรกอล์ฟวัย 30 ปีรายนี้ และมี Strokes Gained: Putting +5.28 ดีที่สุดในบรรดาแชมป์พีจีเอทัวร์นับตั้งแต่ปี 2004
ในขณะที่เขาไม่สามารถเก็บอีเกิ้ลหลุมสุดท้ายในรอบที่สามเพื่อปิดฉากด้วยผลงาน 59 สโตรก แต่คลาร์กทำ 2 อีเกิ้ลใน 9 หลุมแรกและรวมทั้งทัวร์นาเมนท์ทำไป 3 อีเกิ้ล เทียบเท่ากับ จัสติน โรส และเป็นรอง ดาเนียล แบร์เกอร์ แชมป์ปี 2021 เพียง 1 ครั้ง สำหรับตำแหน่งแชมป์ที่หวดอีเกิ้ลมากที่สุด และทำได้ในการแข่งขันเพียง 54 หลุมเท่านั้น นอกจากนี้คลาร์กยังมีสถิติที่ยอดเยี่ยมในการเล่นหลุมพาร์ 5 โดยเก็บแต้ม 10 อันเดอร์พาร์ ในรอบที่สองและสามในการแข่งขันที่เพ็บเบิลบีชปีนี้
#PGA TOUR
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น