"Judas and the Black Messiah - จูดาส แอนด์ เดอะ แบล็ก เมสไซอาห์" เข้าฉาย 22 เมษายน ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2564

"Judas and the Black Messiah - จูดาส แอนด์ เดอะ แบล็ก เมสไซอาห์" เข้าฉาย 22 เมษายน ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

 


ช่วงปลายปี 1960 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญและสร้างความวุ่นวายมากที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของชาวอเมริกัน ประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองและความไม่สงบทางสังคม ถูกผู้ชุมประท้วงอย่างรุนแรงจากเรื่องสังคม เรื่องเพศ สงครามเวียดนาม และความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในด้านเชื้อชาติ กลุ่มคนผิวสีจากทั่วประเทศต้องพบกับความไม่เสมอภาคทางด้านสาธารณสุข ที่อยู่อาศัย การศึกษา และการจ้างงาน ทุกอย่างล้วนกระทบจากความไม่เสมอภาคได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

                         


ผู้อำนวยการทบวงการสืบสวนแห่งรัฐ เจ.เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ได้พัฒนา COINTELPRO โปรแกรมหาข่าวกรองที่ถูกออกแบบมาเพื่อสยบเสียงเรียกร้องทางการเมืองและองค์กรที่คิดต่าง ผ่านการตรวจตรา แทรกซึม แคมเปญต่างๆ ที่ทำลายชื่อเสียง และการสร้างความแตกแยก โดยมีการเพ่งเล็งไปที่กลุ่มคนผิวสี เพื่อสลายต้นกำเนิดฮูเวอร์หมายมั่นจะกำจัดพวก “แบล็ก เมสไซอาห์” เขามีการพาดพิงถึงผู้นำชาวผิวสีและสิทธิพลเมืองที่มีจำนวนมากขึ้น ในปี 1967 ฮูเวอร์ได้ยื่นฟ้อง เฟรด แฮมป์ตัน นักศึกษาวิทยาลัยในมิดเวสเทิร์นชาวผิวสี ผู้ก่อตั้งลัทธิเพื่อกิจกรรมทางการเมือง จนเขาเป็นที่จับตามองของหน่วยงานราชการ

แฮมป์ตันได้กลายเป็นประธานแบล็ก แพนเตอร์ ปาร์ตี้ (BPP) ที่อิลลินอยส์เมื่อปี 1968 ทำหน้าที่ผู้นำการต่อสู้เพื่ออิสรภาพขององค์กร edom, for the power of self-determination และเพื่อยุติความโหดเหี้ยมของเจ้าหน้าที่ตำรวจและการสังหารคนผิวสีอย่างทารุณ ทางทบวงได้จัดลำดับให้แฮมป์ตันอยู่ในดัชนีของ แร็บเบิล-รูเซอร์หรืออากิเตเตอร์ มีการระบุตัวเขาในฐานะของผู้นำการต่อสู้คนสำคัญที่ก่ออันตรายต่อระบบความปลอดภัยของประเทศ และขณะเดียวกันทางเอฟบีไอได้แต่งตั้งให้ วิลเลียม โอนีล เข้าไปแทรกซึมกลุ่มบีพีพี เพื่อติดตามข่าวสารและการเคลื่อนไหววงในของแฮมป์ตัน

ในปี 1969 ประธานเฟรด แฮมป์ตันถูกเอฟบีไอสังหารในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 4 ธันวาคม เขามีอายุเพียง 21 ปี และเมื่อวันที่ 15 มกราคม 1990 วิลเลียม โอนีล ได้เล่าถึงชีวิตตนเองในวันเดียวกันนั้นผ่านทางซีรีส์สารคดี “Eyes on the Prize 2” เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ผ่านหน้าจอเพียงครั้งเดียวของโอนีลเกี่ยวเรื่องการเข้าไปพัวพันกับแฮมป์ตันและแพนเตอร์ ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุ 40 ปี

ในเวลากว่า 2 ปีในกลุ่มบีพีพี แฮมป์ตันมีบทบาทสำคัญต่อแพนเตอร์และสังคมเป็นวงกว้าง จนก้าวไปอยู่ระดับแถวหน้าของประเทศและเป็นที่สนใจจากทั่วโลก ขณะที่เรื่องราวการสังหารแฮมป์ตันโดยรัฐบาลสหรัฐฯ กลับไม่เป็นที่กล่าวถึงในห้องเรียน แต่ผลงานที่แฮมป์ตันฝากไว้ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่ม Black Power Movement ตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปี

ภาพยนตร์เรื่อง “Judas and the Black Messiah” สร้างจากเหตุการณ์จริง กำกับฯ โดยชาก้า คิง ซึ่งเป็นการกำกับฯ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของสตูดิโอเรื่องแรก โปรเจ็กต์นี้ผลิตร่วมกันระหว่างคิงและพาร์ทเนอร์ด้านงานเขียน วิล เบอร์สัน ผู้ร่วมเขียนบทฯ และเคนนี่ ลูคัส และ คีธ ลูคัส ผู้ร่วมแต่งเนื้อเรื่องกับเบอร์สันและคิง คิงมีสายสัมพันธ์ร่วมกับ ไรอัน คูกเลอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ (“Black Panther,” “Creed,” “Fruitvale Station”) มาอย่างยาวนาน เคยนำเสนอภาพยนตร์ต่อคูกเลอร์และชาร์ลส ดี. คิง (“Just Mercy,” “Fences”) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ร่วมกับชาก้า คิง อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยเซฟ โอฮาเนียน, ซินซี่ คูกเลอร์, คิม รอธ, ป๊อปปี้ แฮงค์ส, ราวี เมห์ทา, เจฟฟ์ สโคล, อนิคาห์ แม็คลาเร็น, อารอน แอล. กิลเบิร์ต, เจสัน คลอธ, เท็ด กิดโลว์ และนีจ้า ควีเค็นดัล

นักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง “Judas and the Black Messiah” ได้แก่ แดเนียล คาลูย่า ผู้เข้าชิงรางวัล  Oscar (“Get Out,” “Widows,” “Black Panther”) มารับบทเฟรด แฮมพ์ตัน และ ลาคีธ สแตนฟีลด์ (“Atlanta,” “The Girl in the Spider’s Web”) มารับบทวิลเลียม โอนีล ภาพยนตร์ยังนำแสดงโดยเจสซี่ พลีมอนส์ (“Vice,” “Game Night,” “The Post”), โดมินิก ฟิชแบ็ค (“The Hate U Give,” “The Deuce”), แอชตัน แซนเดอร์ส (“The Equalizer 2,” “Moonlight”) และมาร์ติน ชีน (“The Departed,” ภาพยนตร์ทางทีวี “The West Wing,” ภาพยนตร์ทางทีวี “Grace & Frankie”)

ทีมนักแสดงยังรวมถึง อัลจี สมิธ (“The Hate U Give,” “Detroit”), ดาร์เรล บริตต์-กิ๊บสัน (“Just Mercy,” “Three Billboards Outside Ebbing, Missouri”), โดมินิก ธอร์น (“If Beale Street Could Talk”), อมารี เชียทอม(“Roman J. Israel, Esq.,” “Django Unchained”), คาเล็บ อีเบอร์ฮาร์ต (“The Post”) และลิล เรล โฮเวอรี่ (“Get Out”)

ทีมงานเบื้องหลังฝ่ายสร้างสรรค์ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ ฌอน บ็อบบิตต์ (“12 Years a Slave,” “Widows”) ผู้ออกแบบฉาก แซม ไลเซนโค (“Uncut Gems,” “Frances Ha”) ผู้ลำดับภาพ คริสแทน สปาร์ก (“Random Acts of Flyness”) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ชาร์ลีซ แอนทัวเน็ตต์ โจนส์ (“Raising Dion,” “Little Boxes”) หัวหน้าฝ่ายเมคอัพ/ผู้ออกแบบการแต่งหน้าเทียม ชาน ริชาร์ดส (“Black Panther,” “Cloud Atlas”) หัวหน้าฝ่ายช่างผม รีเบ็คก้า วูดฟอร์ค  (“Knives Out,” “Joy”) ผู้ผลิตซาวด์มิกเซอร์ มาร์โลว์ เทย์เลอร์ (“Queen & Slim,” “Alex Cross”) ผู้ควบคุมการตัดต่อเสียง ริช โบโลน่า (“The Hunt,” “Marriage Story”) และผู้บันทึกการมิกซ์เสียง สคิป ลีฟซีย์ (“Roma,” “Gravity”) ดนตรีโดยเครก แฮร์ริส และ มาร์ค ไอแซม (“42,” “Beyond the Lights”)

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์ร่วมกับ MACRO/Participant/BRON Creative, a MACRO Media/Proximity Production, a Film by Shaka King เรื่อง “Judas and the Black Messiah” จะเริ่มฉายในโรงภาพยนตร์ 12 กุมภาพันธ์ 2021 จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส

 

 

www.judasandtheblackmessiah.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad