• เศรษฐกิจไทยเดือนเมษายน 2563 ล้วนหดตัวในทุกเครื่องชี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การผลิต การบริโภคและการลงทุน มีเพียงการใช้จ่ายภาครัฐที่ ขยายตัวเท่านั้น โดยเหตุผลหลักมาจากกิ จกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงั กในช่วงของการล็อกดาวน์ทั้ งในประเทศและหลายประเทศของโลกซึ่ งเผชิญการระบาดที่รุนแรงของไวรั สโควิด-19
• แม้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะดีขึ้นจนภาครัฐคลายล็ อกให้กิจการต่างๆ กลับมาเปิดดำเนินการตั้งแต่เดื อนพฤษภาคม (เฟส 1-3) รวมทั้งมีมาตรการเยียวยาเพื่ อบรรเทาผลกระทบหลายด้าน ซึ่งทำให้เครื่องชี้เศรษฐกิ จไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังซื้อครัวเรือนที่อ่ อนแอ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ ยนแปลงไป ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะถดถอย อีกทั้งยังมีความเสี่ ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ปะทุขึ้นอีกรอบ จึงทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิ จและภาคธุรกิจไทยจะยังไม่กลับสู่ ภาวะปกติหรือก่อนโควิด-19 และคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ดังนั้น สถานการณ์การว่างงานในประเทศจึ งยังอยู่ในภาวะที่น่ากังวล ซึ่งที่ประชุม กกร. เห็นว่า ภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนแผนฟื้ นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร็ว โดยเน้นโครงการที่เพิ่มเม็ดเงิ นลงสู่เศรษฐกิจฐานราก และฟื้นฟูธุรกิจท้องถิ่นเพื่ อสร้างงานอย่างครอบคลุมทั่ วประเทศ
• สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2563 นั้น กกร. ยังคงประมาณการต่างๆ ไว้ตามเดิม โดยมองว่า เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวในกรอบ -5.0% ถึง -3.0% และการส่งออกอาจหดตัว -10.0% ถึง -5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าอยู่ในกรอบ -1.5% ถึง 0.0%
• ทั้งนี้ กกร. มองว่า การเร่งผลักดันการใช้วงเงินสิ นเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ภายใต้พระราชกำหนด 5 แสนล้านบาท ให้มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว จะมีส่วนสนับสนุนภาคธุรกิ จเอกชนโดยเฉพาะธุรกิ จขนาดกลางและขนาดย่อมให้ สามารถประคองกิจการต่อไปได้ท่ ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ จึงเห็นว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรร่วมกั นหารือและบริหารจัดการให้เงื่ อนไขต่างๆ ของการปล่อยสินเชื่อในทางปฏิบั ติมีความคล่องตัวมากขึ้นกว่าที่ เป็นอยู่ เช่น อาจให้ บสย. เข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อเพิ่ มเติม หลังสิ้นสุดโครงการ 2 ปี ตาม พ.ร.ก. (โครงการ PGS-9)
• นอกจากนี้ ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เปลี่ ยนแปลงไปหลังการระบาดของโควิด-1 9 และเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย สร้างความท้าทายต่อทิ ศทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิ จในช่วงข้างหน้า การกลับมาพึ่งพาแรงขับเคลื่ อนจากปัจจัยภายในประเทศจึงเป็ นสิ่งที่ต้องเร่งผลักดัน กกร. จึงเสนอให้มีการประชุมระหว่ างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้มีเวทีสำหรับการหารื อนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและขั บเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างจริงจัง อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง อาทิ การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19, การขับเคลื่อนโมเดล BCG เป็นต้น
• สำหรับปัญหาภัยแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิ จของประเทศ โดย กกร.มีความเป็นห่วง และขอให้รัฐบาลจั ดสรรงบประมาณให้เพียงพอในการบริ หารจัดการน้ำ รวมทั้ง เร่งดำเนินโครงการเพื่อให้มีปริ มาณน้ำเพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากปัจจุบันยังมีปริมาณน้ำ ไม่เพียงพอ
• กกร. มีข้อสรุปในเรื่องข้อตกลง CPTPP โดยเห็นควรสนับสนุนให้ประเทศไทย เข้าร่วมเจรจากับกลุ่ มประเทศภายใต้ข้อตกลง CPTPP ในเดือนสิงหาคม 2563 เนื่องจากการเข้าร่วมเจรจาทำให้ เห็นถึงผลดีหรือผลเสียต่อการเข้ าร่วมเป็นประเทศภาคีตามข้อตกลง CPTPP ซึ่งกระบวนการเข้าร่วมเป็ นประเทศภาคีนั้น มีขั้นตอนเป็นลำดับขั้น ซึ่งประกอบด้วย การขอเข้าร่วมเจรจา การเข้าร่วมเจรจากับประเทศภาคี หลังจากเจรจาเสร็จแล้ว ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิ จารณา ซึ่งขณะเดียวกันต้องมีการรับฟั งประชาพิจารณ์ผลการเจรจาด้วย และสุดท้ายต้องเสนอให้รัฐสภาพิ จารณาเห็นชอบ ซึ่งต้องใช้เวลาในทุ กกระบวนการอย่างน้อย 4 ปี และประเทศไทยสามารถยุติ การเจรจาในทุกขั้นตอนได้หากเห็ นว่าประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ กกร. เห็นว่าการเข้าร่วมเจรจาจะเป็ นประโยชน์ต่อประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยทราบถึงข้ อตกลง และเป็นประโยชน์สำหรับการปรับตั วของประเทศไทยให้สามารถแข่งขั นกับประเทศต่างๆ ได้ในเวทีโลก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม ASEAN
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น