ศูนย์การค้าเมกาบางนา เผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการด้านพลังงาน และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ดำเนินการมาตลอด 8 ปี โดยใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านความยั่งยืน (Sustainability) สานต่อภารกิจการพัฒนาองค์กรควบคู่การดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าที่สร้างคุณค่าและเป็นหนึ่งเดียวกับสังคม ตอกย้ำแนวคิด “The Great Meeting Place” ที่ตั้งใจทำให้เมกาบางนาเป็นมากกว่าศูนย์การค้า แต่เป็น Meeting Place ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกโอกาสได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นางสาวปพิตชญา สุวรรณดี กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา
เปิดเผยว่า “ การทำธุรกิจแบบยั่งยืน
พร้อมดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมคือความท้าทายในการทำงานของเรา นอกจากการลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว
เรายังต้องอาศัยความร่วมมือจากชุมชนโดยรอบ ซึ่งเมกาบางนาเองก็มีความตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
และพัฒนาธุรกิจไปพร้อมๆกัน ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนนี้
นับเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ที่เมกาบางนายึดถือมาตลอด 8 ปี ตั้งแต่เริ่มให้บริการคือการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจแบบรอบด้าน
ทั้งธุรกิจแกนหลัก (Core Business) นั่นคือการพัฒนาศูนย์การค้า คัดสรรผู้เช่า
(Tenant Mix) ที่มีศักยภาพและตอบโจทย์ของลูกค้าเมกาบางนา และพัฒนาทรัพยากรที่องค์กรมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการทำงาน รวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจและผู้เช่าร้านค้าภายในศูนย์การค้า
เพื่อนำไปสู่การส่งมอบประสบการณ์ในการช้อปปิ้งที่ตอบโจทย์ลูกค้า ไปพร้อม ๆ กับการขับเคลื่อนนโยบายด้านความยั่งยืน
ที่ทางศูนย์ฯ ได้ดำเนินการควบคู่ไปด้วยกัน”
ทุ่มงบพันล้าน สำหรับนโยบาย Sustainability
Project
ศูนย์การค้าเมกาบางนา มีวิสัยทัศน์และแนวทางการพัฒนาธุรกิจ
ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยได้เดินหน้านโยบายสนับสนุนการดำเนินธุรกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยการดำเนินงานด้านต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการด้านพลังงาน เมกาบางนาให้การสนับสนุนอย่างจริงจังและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนด้วยการปรับรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนโดยรอบและในพื้นที่ใกล้เคียง
เพื่อตอบโจทย์การอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพ การพัฒนาสาธารณูปโภค รวมถึงเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ชุมชน
ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจของศูนย์การค้าฯ
“เราเชื่อว่าทุกขั้นตอนที่บริษัทของเราดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
นั้น นอกเหนือจากการพัฒนาธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืนแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนและโลกของเรา
ยกตัวอย่างโครงการที่เราทำ อาทิ ในปี 2556 เมกาบางนาได้สั่งห้ามการใช้สารเคมีในการทำความเย็นภายในอาคารทั้งหมด
ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงด้านสุขภาพและเพิ่มความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
หรือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เกือบ 4,000
แผงเต็มพื้นที่ 8,000 ตารางเมตรบนหลังคา ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าประมาณ
1.43 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี
เทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าใน 200 ครัวเรือน โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง
7.16 แสนกิโลกรัมต่อปี
และยังรวมถึงอีกหนึ่งโครงการสำคัญในปี 2558
โดยเมกาบางนาได้ลงนามในสัญญาร่วมกับบริษัท
เทรน (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนาประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของระบบปรับอากาศได้มากกว่า
20%” นางสาวปพิตชญา กล่าวเพิ่มเติม
และในปี 2560
ได้ริเริ่มโครงการก่อสร้าง โรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ที่ได้มาตรฐานระดับสากล โดยเลือกใช้เทคโนโลยีเมมเบรน
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับเครื่องกรองน้ำดื่มในการบำบัดน้ำเสียโดยไม่ใช้สารเคมี
น้ำที่ผ่านไส้กรองเมมเบรน ที่สามารถนำมาใช้หมุนเวียนในกิจกรรมดูแลรักษาต้นไม้
งานทำความสะอาดและระบายความร้อนของระบบปรับอากาศภายในศูนย์ฯ ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำประปาได้มากกว่าปีละกว่า 1 แสนหน่วย โดยเมกาบางนามีความตั้งใจที่จะทำโรงบำบัดนี้ให้เป็นแหล่งการเรียนรู้โดยจะออกแบบติดตั้งผนังกระจกใสให้นักเรียนและผู้สนใจเข้ามาดูงานโดยเดินในพื้นที่ที่กำหนดได้อีกด้วย
และตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน
เมกาบางนาได้ทยอยเปลี่ยนหลอดไฟส่องสว่างในอาคารและป้ายโฆษณาให้เป็นแอลอีดี
รวมถึงในพื้นที่ส่วนกลาง ร้านค้าบางส่วน ซึ่งดำเนินการได้ประมาณ 95% แล้ว นอกจากการพัฒนาและดูแลสิ่งแวดล้อมจากโครงการต่างๆ
ที่ได้ดำเนินการมาแล้ว การจัดการด้านพลังงานที่ปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ส่งผลให้ศูนย์การค้าเมกาบางนา สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในส่วนของระบบปรับอากาศ ระบบแสงสว่าง และส่วนกลางของอาคารลงได้ มากกว่า
15 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินกว่า 50
ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ เมกาบางนายังส่งเสริมให้พนักงานทุกคน
มีส่วนในการเข้าร่วมกิจกรรมด้านพลังงาน เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน
รวมไปถึงการส่งเสริมให้ความรู้ ความเข้าใจ ให้กับพนักงานและผู้เช่า
พร้อมช่วยเหลือผู้เช่าเรื่องการตรวจสภาพเครื่องจักรกับร้านค้าผู้เช่าภายในศูนย์ฯ
ด้วย
โจทย์ใหญ่ พัฒนาและเพิ่มความสะดวกสบาย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับลูกค้า
เมกาบางนา ยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการก่อสร้างอาคารจอดรถจำนวน 8 ชั้นแห่งใหม่ เพิ่มที่จอดรถมากกว่า 2,000 คัน ภายใต้งบประมาณกว่า 1 พันล้านบาท
ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในต้นปี 2564 ซึ่งจะทำให้ศูนย์การค้าเมกาบางนาจะมีที่จอดรถรวมกว่า
12,000 คันเพื่อรองรับลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น และเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการอีกด้วย
นอกจากนี้ ด้วยแนวคิดที่คำนึงถึงความปลอดภัยของการเดินทางสำหรับผู้มาใช้บริการ
และบรรเทาปัญหาเรื่องการจราจร ที่นับเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สร้างมลภาวะเป็นพิษในอากาศและทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอันเนื่องมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากรถยนต์ที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) ไปในบรรยากาศ
ทางศูนย์การค้า จึงได้สนับสนุนงบประมาณให้กรมทางหลวงฯ เพื่อจัดสร้างสะพานกลับรถ
ในเขตทางหลวงหมายเลข 34 ถนนบางนา – ตราด กม.7 โดยหากสะพานกลับรถดังกล่าวเปิดใช้แล้ว
คาดว่าจะช่วยย่นระยะเวลาเดินทางได้มากถึง 10 นาที
อีกทั้งยังลดอัตราการใช้น้ำมันและปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อันเกิดจากการเผาไหม้
และที่สำคัญจะช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนที่ใช้รถใช้ถนนดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น
นางสาวปพิตชญา กล่าวเพิ่มเติมว่า
“นอกจากพื้นที่จอดรถที่เพิ่มขึ้น เรายังเติมเต็มพื้นที่สีเขียวให้ชุมชนในโครงการส่วนต่อขยายโซนต่างๆ
ที่เราทำ อาทิ เมกา ฟู้ดวอล์ค
ที่เปิดให้บริการเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ออกแบบเป็นอาคาร 3
ชั้น บนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร
ภายใต้บรรยากาศแบบกึ่งเอาท์ดอร์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้แนวคิดสุนทรีย์ของ ‘หุบเขา’ (Valley) เป็นการสร้างบรรยากาศสุดชิลราวกับถูกโอบล้อมอยู่ในทิวเขาเขียวขจี
เพื่อมอบพื้นที่สีเขียวให้ชุมชน พร้อมโขดหิน ลำธาร และน้ำตก
พร้อมทางเดินในทุกระดับชั้นได้ถูกออกแบบให้เชื่อมโยงถึงกันอย่างเป็นระบบและง่ายต่อการเดินไปตามจุดต่างๆ อีกทั้งยังเชื่อมต่อเข้ากับทางเดินของโครงการเดิมในทุกจุด ในส่วนของ “เมกา
พาร์ค” สวนสาธารณะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจบนพื้นที่กว่า 7 ไร่ มอบเป็นพื้นที่สีเขียวและปอดแห่งใหม่ของผู้คนในย่านบางนา
เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตในทุกไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรให้กับทุกคนในครอบครัว
สนุกสนานกับสนามเด็กเล่น พร้อมเครื่องเล่นสำหรับเด็กที่มีมาตรฐานปลอดภัย รวมทั้งการปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านนอกของโซนเมกา
ฟู้ดวอล์ค ใน
คอนเซปต์ Scandinavian Playground สนามเด็กเล่นธรรมชาติขนาดใหญ่
พร้อมสายน้ำ (stream valley) และบ่อทราย (sand dune) ภายใต้บรรยากาศสวนต้นไม้อันรื่นรมย์ที่หาได้ยากในเมืองใหญ่
ให้ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน และแม้ทางศูนย์ฯ จะสามารถนำพื้นที่ดังกล่าวไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
แต่เมกาบางนาเลือกที่จะมอบพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับคนในชุมชน
ซึ่งเปิดให้มาใช้บริการได้ฟรี
“ทั้งหมดของความตั้งใจและความพยายามที่เรากล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างมีทติ้งเพลสของศูนย์การค้าเมกาบางนา
ที่ให้ความสำคัญไม่ใช่แค่การส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของพวกเรา
แต่ยังรวมไปถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมทั้งภายในพื้นที่ของเราเองและพื้นที่โดยรอบของชุมชนแห่งนี้
เราเชื่อว่าทุกๆ เรื่องที่เราทำภายใต้แนวคิดการสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืนนั้น
เปรียบเสมือนพลังเล็กๆ ที่ตั้งใจจะพัฒนาสิ่งแวดล้อมของชุมชนแห่งนี้ให้ดีขึ้น
ดังนั้น ไม่ว่าจะอีกกี่ปีผ่านไป เราก็จะยังคงมุ่งมั่นในก้าวเล็กๆ นี้ของเรา เพราะถ้าสิ่งที่เราทำมันส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
เราเชื่อว่ามันต้องเหมาะสมและส่งผลดีต่อการทำธุรกิจของเราเช่นกัน” นางสาวปพิตชญา กล่าวปิดท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น