JCK ประกาศแผนธุรกิจปี 63 ตั้งเป้าหมายงบพลิกเป็นบวก คาดมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเติบโตประมาณร้อยละ 522 โดยธุรกิจขายที่ดินในนิคมอุ ตสาหกรรมยังเป็นธุรกิจหลั กในการขับเคลื่อนธุรกิจ ตั้งเป้าขายที่ดินในปีนี้ 200-300 ไร่ คึกคักรับแผนผังใช้ที่ดินในEEC มีความชัดเจน ขณะที่ธุรกิจให้เช่าคลังสินค้ าเฟื่องฟู และคอนโดมิเนียมอาร์ติซาน จ่อรับรู้รายได้ภายในปีนี้หลั งจากขายไปแล้วกว่า ร้อยละ 80
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการและประธานกรรมการบ ริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) หรือ JCK ผู้ประกอกบการพัฒนานิคมอุ ตสาหกรรม เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดทำแผนธุรกิจสำหรับปี 2563 ตั้งเป้าหมายสำหรั บผลประกอบการคาดว่าจะสามารถพลิ กเป็นบวก (เทิร์นอะราวด์) โดยคาดว่าจะมีรายได้รวมราว 3,000 ล้านบาท เติบโตราวร้อยละ 522 รับผลบวกจากทุกหน่วยธุรกิจมีทิ ศทางการเติบโตที่ดี
ธุรกิจขายที่ดินในนิคมอุ ตสาหกรรมยังคงเป็นธุรกิจหลั กในการสร้างรายได้ คาดว่าจะสามารถขายที่ดินในปี 2563 นี้ จำนวน 200-300 ไร่ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มียอดขายที่ดินไม่มากนัก เนื่องจากได้รับผลบวกภายหลั งประกาศใช้แผนผังการใช้ประโยชน์ ที่ดินในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวั นออก(EEC)
ขณะที่ธุรกิจให้เช่าคลังสินค้า บริษัทฯ คาดว่าจะปล่อยเช่าได้เพิ่มขึ้ นไม่ต่ำกว่า 40,000 ตารางเมตร และคาดว่าจะขายเข้ากอง REIT ภายในช่วงปลายปีนี้ได้ตามแผน ทำให้สามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2563 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับสิทธิการเช่าในที่ดิ นจำนวนกว่า 1,300 ไร่ เป็นระยะเวลา 50 ปี ตั้งอยู่บนพื้นที่จังหวัดนครพนม ใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย - ลาว สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศจีน เวียดนาม และสาธารณรัฐประชาธิ ปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และอนาคตจะมีรถไฟรางคู่เชื่ อมผ่านถึง ส่งผลให้กลายเป็นพื้นที่สำคัญ และคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนั กลงทุนติดต่อขอเช่าพื้นที่
สำหรับธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนี ยมโครงการอาร์ติซาน รัชดา อาคารสูง 34 ชั้น จำนวน 4 อาคาร รวม 1,337 ยูนิต ซึ่งบริษัทฯ ร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศจีน ขณะนี้มียอดขายเกินร้อยละ 80 และคาดว่าจะสามารถเริ่มรับรู้ รายได้จากการขายในช่วงครึ่งหลั งของปีนี้ ประมาณ 5,000 ล้านบาท
“ทุกหน่วยธุรกิจมีทิศทางการเติ บโตชัดเจน และเป็นปัจจัยหลักทำให้บริษั ทฯมีความเชื่อมั่นว่ าผลประกอบการของบริษัทฯในงวดปี 2563 นี้ จะสามารถพลิกเป็นบวกได้ โดยเฉพาะธุรกิจหลักในการขายที่ ดินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม พบว่าความต้องการเพิ่มสูงขึ้ นภายหลังรัฐบาลประกาศแผนผังพื้ นที่ในเขต ECC” นายอภิชัย กล่าว
ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการยืนยันเบื้องต้นจากนั กลงทุนชาวไต้หวัน ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็ นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ประมาณ 50-60 ไร่ หลังจากก่อนหน้านี้อยู่ระหว่ างตัดสินใจเลือกระหว่ างประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงยังมีลูกค้าจากกลุ่ มประเทศยุโรปให้ความสนใจลงทุ นเป็นฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์อี กประมาณ 20 ไร่ เนื่องจากสิทธิประโยชน์ในพื้นที่ ECC จูงใจนักลงทุนต่างประเทศ และในเดือนกุมภาพันธ์นี้ บริษัทฯ เตรียมจะร่วมเดินทางไปพร้อมกั บสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริ มการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อไปโรดโชว์พบนักธุรกิ จในประเทศญี่ปุ่น และทุกครั้งที่ไปโรดโชว์จะได้ รับข้อตกลงทางธุรกิจอย่างมีนั ยสำคัญ ทำให้มีความมั่นใจว่าในปีนี้ จะสามารถขายที่ดินได้ตามเป้ าหมายที่ตั้งไว้ 200-300 ไร่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น