PRINC เปิดงบปี 64 พลิกมีกำไรสุทธิ 103.4 ล้านบาท โตแรงร้อยละ 119.2 รายได้รวมแตะ 5,058 ล้านบาท โตเกินเป้าหมาย คาดปี 65 นี้ โตอีกร้อยละ 38 - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

PRINC เปิดงบปี 64 พลิกมีกำไรสุทธิ 103.4 ล้านบาท โตแรงร้อยละ 119.2 รายได้รวมแตะ 5,058 ล้านบาท โตเกินเป้าหมาย คาดปี 65 นี้ โตอีกร้อยละ 38


PRINC
เผยงบปี 64 พลิกมีกำไรสุทธิ 103.4 ล้านบาท โตพรวดร้อยละ 119.2 และมีรายได้รวม 5,058 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 90.8 สูงกว่าเป้าที่คาดว่าจะโตร้อยละ 30 เป็นผลเชิงบวกจากธุรกิจโรงพยาบาลร่วมกับภาครัฐดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และยังหนุนการเข้ารับการใช้บริการโรงพยาบาลด้านอื่นๆ ในเครือทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ คาดในปี 2565 จะยังคงรักษาความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าเติบโตร้อยละ 38 หรือรายได้แตะ 6,800 ล้านบาท มีปัจจัยจากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงต้องใช้เวลาควบคุมการระบาดอย่างน้อย 3-6 เดือน

              นายธานี มณีนุตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO)และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC  เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯ งวดปี 2564 ว่า พลิกมีกำไรสุทธิ 103.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 119.2 จากปีก่อนหน้าที่มีผลขาดทุนสุทธิ 537.3 ล้านบาท โดยในงวดปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,058.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,408.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 90.8 จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 2,650.7 ล้านบาท นับว่าเกินกว่าเป้าหมายที่ประมาณการรายได้ปี 2564 เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 30 หรือรายได้ราว 3,500 ล้านบาทเท่านั้น 

              ในปี 2564 ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตอย่างโดดเด่นเกินกว่าเป้าหมาย เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลซึ่งเป็นธุรกิจหลัก สามารถสร้างรายได้จำนวน 4,742.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 107 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้จำนวน 2,290.3 ล้านบาท จากจำนวนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการแพร่ระบาดรุนแรงของโควิด-19 รวมถึงการให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การตรวจคัดกรองโควิด-19 การรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งผู้ป่วยที่รับการตรวจคัดกรองฯ จากโรงพยาบาลในเครือ โรงพยาบาลสนาม และฮอสพิเทล และยังมีรายได้จากการจำหน่ายวัคซีนทางเลือก การให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนทั่วไป  อีกทั้งรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการปิดพื้นที่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 และการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำโดยไม่มีการกักตัว (Test and Go) ทำให้ผู้ป่วยในประเทศและต่างประเทศกลับมาใช้บริการมากขึ้น ทำให้โรงพยาบาลในเครือทุกแห่งมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลประกอบการของโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 641 ซึ่งดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

              ปัจจุบันบริษัทฯ โรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ มีจำนวนรวม 12 แห่ง ใน 10 จังหวัด และคลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ จำนวน 16 แห่ง และในปีนี้ อยู่ในระหว่างเตรียมดำเนินการก่อสร้างและบริหารโรงพยาบาลเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 แห่ง และเปิดธุรกิจใหม่ด้าน Health and Wellness เพิ่มเติม ทั้งนี้ ยังคงเป้าหมายขยายจำนวนโรงพยาบาลให้ครบ 20 แห่ง และคลินิกใกล้บ้านใกล้ใจให้ครบ 100 แห่ง ภายในปี 2566

              “บริษัทฯ สามารถผลักดันให้ผลประกอบการพลิกเป็นบวกได้ตามเป้าหมาย และจะสามารถรักษาการเติบโตอย่างโดดเด่นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 นี้ เนื่องจากประเมินว่าธุรกิจโรงพยาบาลยังคงได้รับผลเชิงบวกจากความร่วมมือกับภาครัฐในการดูแล รักษาและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศต่อไปอีกอย่างน้อย 3-6 เดือน โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2565 คาดว่าจะมีจำนวน 6,800 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 38” นายธานีกล่าว 

              อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน หลังการแพร่ระบาดของโควิค-19 และต้องพิจารณานำเทคโนโลยีทางการแพทย์หรือ Health Tech เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการโรงพยาบาล รวมถึงใช้ในการรักษาและอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยมากขึ้น อีกทั้งต้องกระจายและขยายฐานลูกค้าผู้มาใช้บริการลงไปในระดับชุมชน และขยายการให้บริการเพื่อตอบสนองการรักษาและความต้องการของคนไข้ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น คลินิกฟื้นฟูผู้ป่วยหลังติดเชื้อโควิด-19, การขยายคลินิกเฉพาะทาง หรือศูนย์การแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลเครือข่าย เช่น ศูนย์มะเร็งพิษณุเวชฮอไรซัน โรงพยาบาลพิษณุเวช ภายใต้ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ร่วมมือกับบมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และเตรียมขยายไปโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ ในเครือฯ ต่อไป

              ด้วยผลประกอบการที่เติบโตพลิกมีกำไรสุทธิในปี 2564 ส่งผลให้ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่ง พบว่าส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีจำนวน 9,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับงวดสิ้นปี 2563 ที่มีจำนวน 8,297 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(D/E) ลดลงมาอยู่ที่ 0.67 เท่า จากงวดปี 2563 อยู่ที่ 0.73 เท่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad