ประเทศไทย, 9 กรกฎาคม 2563 – รายงานเรื่อง ความพร้อมเพื่อรับมือกั บโรคมะเร็ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก: การขับเคลื่อนสู่มาตรการควบคุ มโรคมะเร็งฉบับสากล หรือ Cancer preparedness in Asia Pacific: Progress towards universal cancer control จัดทำโดย The Economist Intelligence Unit และได้รับการสนับสนุนโดยบริษัท โรช จำกัด ได้เผยผลวิเคราะห์ความพร้อมในด้ านต่าง ๆ ของ 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในการรับมือกับความท้าทายเพื่ อดูแลประชาชนและรักษาผู้ที่ป่ วยด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งจะนำไปสู่การผลักดันให้มี มาตรการรองรับและควบคุมฉบับสากล
รายงานเรื่อง ความพร้อมเพื่อรับมือกั บโรคมะเร็ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก: การขับเคลื่อนสู่มาตรการควบคุ มโรคมะเร็งฉบับสากล ได้วิเคราะห์ความพร้อมของ 10 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก คือ ประเทศไทย ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และเวียดนาม โดยเป็นการสำรวจ เก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ ผลโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ งและระบบสาธารณสุขจากระดับภูมิ ภาค ซึ่งเจาะประเด็นในสามด้านสำคัญ คือ นโยบายและการวางแผน การให้บริการและรักษา และระบบสุขภาพและการสนับสนุ นจากรัฐบาล โดยผลการสำรวจเผยว่า ประเทศออสเตรเลียได้คะแนนรวมสู งสุด ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 6 จากทั้งหมดสิบอันดับ
ผลสำรวจยังระบุลำดับคะแนนที่น่ าสนใจจากกลุ่มประเทศที่มีรายได้ ปานกลางค่อนข้างสูง (upper-middle income) อย่างประเทศไทยและมาเลเซีย ที่ได้คะแนนด้ านมาตรการในวางแผนรับมือกั บโรคมะเร็งได้ดีมากจนอยู่ในอั นดับต้น ๆ ของดัชนี อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ อย่างมีประสิทธิภาพยังเป็นปั ญหาสำคัญที่หลายประเทศต้ องหาทางรับมือ
ดร. ศุลีพร แสงกระจ่าง รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุ ขภาพ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “ประเทศไทยได้คะแนนสูงอยู่ในอั นดับสี่ ของการเป็นประเทศที่มี นโยบายและแผนการเตรียมพร้อมรั บมือกับโรคมะเร็งดีที่สุด เมื่อมองลึกลงไปถึงที่ มาของคะแนน ไทยยังได้รับคะแนนสูงที่สุ ดจากการเป็นประเทศที่ สามารถดำเนินการตามหลักประกันสุ ขภาพถ้วนหน้าได้อย่างมีประสิทธิ ภาพ ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งร่วมกั บประเทศออสเตรเลีย เกาหลีใต้และญี่ปุ่น”
ปัจจุบัน โรคมะเร็ง ยังคงเป็นสาเหตุหลักที่คร่าชีวิ ตของผู้คนจำนวนมากในภูมิ ภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 ภูมิภาคนี้จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็ งเพิ่มขึ้นถึง 35 เปอร์เซ็นต์ และมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ เพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์[1] ถึงแม้ว่าจะมีนโยบายการรับมื อและสถาบันวิจัยโรคมะเร็งเกิดขึ้ นมากมาย แต่อัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้ นและการตรวจพบโรคมะเร็งเมื่ อโรคมีการลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแล้ว ยังเป็นปัญหาสำคัญของเกือบทุ กประเทศในภูมิภาค โดยสามอันดับแรกของโรคมะเร็งที่ พบผู้เสียชีวิตมากที่สุ ดในประเทศไทย เมื่อปี 2561 คือ มะเร็งปอด ตามมาด้วย มะเร็งตับ และมะเร็งเต้านม
ดร. ศุลีพร แสงกระจ่าง รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุ ขภาพ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข
ผลสำรวจของประเทศไทย ประจำปี 63
· ด้านนโยบายและการวางแผน
ประเทศไทยมีแผนการป้องกั นและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติที่ เข้มแข็ง ทั้งยังเป็นประเทศที่อยู่อันดั บหนึ่งด้านงานวิจัยเรื่ องโรคมะเร็งจากการที่มีสถาบั นมะเร็งแห่งชาติ มีการสร้างความตระหนักรู้เรื่ องการดูแลรักษาสุ ขภาพและลดการบริโภคเครื่องดื่ มแอลกอฮอล์ในหลายพื้นที่ให้แก่ ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีขั้นตอนการติ ดตามและประเมินผลของการวางแผนที่ มีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ประเทศไทยควรให้ความสำคั ญมากขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สู งสุด คือ การสนับสนุนให้เกิดความร่วมมื อกันระหว่างหลายภาคส่วนที่เกี่ ยวข้องโดยเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์ กลางและการจัดสรรงบประมาณอย่ างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการสร้างทะเบียนมะเร็ งระดับประชากร ซึ่งครอบคลุมสถิติที่เกิดขึ้ นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรั บการวางแผนการคัดกรองและรั กษาในระยะยาวต่อไป
· ด้านการให้บริการและการรักษา
“ประเทศไทยมียารักษาโรคมะเร็งส่ วนมากถูกบรรจุเข้าไปในระบบ ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึ งยาและเบิกค่ายาตามสิทธิที่พึ งมีได้ผ่านระบบสาธารณสุข” ดร. ศุลีพร กล่าวเสริม
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาการรั กษาให้มีผู้ป่วยเป็นศูนย์ กลางมากขึ้น โดยปัจจุบันประเทศไทยมีคะแนนด้ านนี้อยู่ในลำดับที่ 10 ร่วมกับ อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยเน้นด้านการทำนโยบายที่ ครอบคลุมถึงการติดตามผลระยะยาว การพักฟื้น และการทำให้ผู้ป่วยสามารถกลั บไปใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับประสิทธิ ภาพให้แก่เครื่องมือทางรังสีวิ ทยา และเพิ่มจำนวนรังสีแพทย์ด้ านมะเร็งวิทยา และบุคลากรสุขภาพด้านอื่น ๆ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการเพิ่ มเติมสำหรับการตรวจคัดกรองแต่ เนิ่น ๆ ทำให้บางครั้งผู้ป่วยพบว่ าตนเองเป็นโรคมะเร็งเมื่อโรคลุ กลามไปมากแล้ว ซึ่งในรายงานได้แนะนำว่า ประเทศไทยควรมีการให้บริ การตรวจคัดกรองมะเร็งเบื้องต้น เช่น การตรวจแมมโมแกรม และการตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุ จจาระ ตั้งแต่ในระดับสถานีอนามัย และสร้างความตระหนักด้านการคั ดกรองและวิธีการรักษาให้ ประชาชนในทั่วทุกพื้นที่เห็ นความสำคัญของเรื่องนี้มากยิ่ งขึ้น
· ด้านระบบสุขภาพและการสนับสนุ นจากรัฐบาล
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ าของประเทศไทยได้รับคำชม และเป็นแบบอย่างให้ นานาประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่ านมา ในแง่ของการลดค่าใช้จ่ายเพื่อสุ ขภาพ ลดอัตราการเสียชีวิตในเด็ก ทั้งยังเพิ่มขั้นตอนการรักษาด้ วยยาต้านไวรัสและการบำบั ดทดแทนไต ทั้งยังลดอุปสรรคในการทำงานเนื่ องจากอาการเจ็บป่วย
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่ มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่ อนข้างสูง แต่กลับมีมาตรการการดู แลประชาชนได้อย่างทั่วถึง แม้มีทรัพยากรจำกัด และมีคุณภาพเทียบเท่ากั บประเทศในกลุ่มที่มีรายได้สูง
นายฟาริด บิดโกลิ ผู้จัดการทั่วไปบริษัท โรช ไทยแลนด์ พม่า กัมพูชา และลาว กล่าวว่า “สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญเพื่ อให้ประเทศไทยมีความพร้อมมากยิ่ งขึ้นในการรับมือโรคมะเร็ง คือ การสร้างระบบทะเบียนมะเร็งระดั บประชากร การกำหนดงบประมาณและค่าใช้จ่ ายเพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุข เพื่อลดช่องว่างให้ ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาที่ มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงความต้องการของผู้ป่ วยเป็นสำคัญ โดยปัญหาที่ได้ถูกพูดถึ งในรายงานนี้ จำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือกั นของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่ วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ ที่ส่งผลให้งบประมาณด้ านสาธารณสุขและการบริการด้ านการแพทย์มีค่อนข้างจำกัด”
“โรชมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกั บรัฐบาลไทย และหน่วยงานด้านสาธารณสุข ในการมุ่งพัฒนานโยบาย รวมไปถึงโครงการทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ งสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุ ณภาพและได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิ ภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน” นายฟาริด กล่าวปิดท้าย
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกั บรายงาน ความพร้อมเพื่อรับมือกั บโรคมะเร็ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก: การขับเคลื่อนสู่มาตรการควบคุ มโรคมะเร็งฉบับสากล ได้ที่ https://worldcancerinitiative. economist.com/cancer-preparedn ess-asia-pacific
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น