วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2566) คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนาเรื่อง “ทิศทางและโอกาสของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างไทย และนวัตกรรมการออกแบบและก่อสร้างอาคารยุคใหม่” เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ณ อาคาร O-NES TOWER สุขุมวิทซอย 6
นายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) กล่าวถึงงานสัมมนาครั้งนี้ว่ามีเป้าหมายสำคัญเพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างตลอดห่วงโซ่อุปทาน
(Supply
chain) ผ่านความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี
นวัตกรรม และแนวโน้มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม
“คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้างของ ส.อ.ท.
จะช่วยส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ผ่านการเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่
เพื่อเป็นแนวคิดการออกแบบใหม่สำหรับผู้ออกแบบไทย โดยจะคำนึงถึงการออกแบบที่เป็นระบบอุตสาหกรรมมาตรฐานสากล
และคำนึงถึงการประกอบติดตั้งที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยี Building
Information Modeling ผ่านช่องทางดิจิทัลเพื่อสร้างการเชื่อมโยงในตัวออกแบบและโครงสร้าง
ซึ่งไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปัญหาขยะที่เกิดจากการก่อสร้าง
และการใช้พลังงานสิ้นเปลือง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
“นอกจากนี้ คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้างของ ส.อ.ท. ยังสะท้อนแนวโน้มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ด้วยสัดส่วนเฉลี่ย 8.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งมีผลต่อการจ้างงานและมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องเป็นวงกว้าง โดยภาพรวมอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างของไทยในปัจจุบันถือว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปี พ.ศ.2566-2567 นี้ คาดการณ์ว่าจะเติบโตตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 4.5-5.5% ต่อปี โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ขณะที่การลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามกำลังซื้อที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานที่คืบหน้ามากขึ้น” นายวิกรม กล่าวเสริม
ด้านนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.)
เน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง
ส.อ.ท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ภาครัฐและภาคเอกชนตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่มีความเกี่ยวเนื่องกับผู้ประกอบการในหลายธุรกิจ
ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด
รวมถึงความท้าทายของอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“สำหรับทิศทางธุรกิจของผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและผู้รับเหมาก่อสร้างไทย
เป็นเรื่องสำคัญของผู้ประกอบการรวมถึงผู้ที่สนใจในอุตสาหกรรมก่อสร้างควรรับทราบ
เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ วางแผนสำหรับการประกอบธุรกิจอย่างมีคุณภาพ
รวมทั้งปรับตัวอย่างทันท่วงทีต่อสถานการณ์ที่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งในระดับประเทศไทยและระดับภูมิภาค”
“นอกเหนือจากความท้าทายจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ
ผู้ประกอบการจะต้องเตรียมความพร้อมกับมาตรการการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
อาทิ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism:
CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่จะส่งผลต่อการผลิตและการพัฒนาวัสดุให้สอดคล้องกับมาตรการ
อีกทั้งยังต้องประสบกับความต้องการของลูกค้าทั้งในตลาดภาครัฐและภาคเอกชนที่จะเน้นการก่อสร้าง
และโครงสร้างอาคารที่จะมุ่งสู่ Green Building ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวร่วมกันตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply
chain) ตั้งแต่นักอุตสาหกรรม นักออกแบบ และผู้รับเหมา” นายวิวรรธน์
กล่าวเสริม
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) สนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิต
13 กลุ่ม อาทิ
แก้วและกระจก แกรนิตและหินอ่อน เคมี เซรามิก เทคโนโลยีชีวภาพ ปูนซีเมนต์ พลาสติก
ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม้อัดไม้บางและวัสดุแผ่น โรงเลื่อยและโรงอบไม้ เหล็ก
หลังคาและอุปกรณ์ อะลูมิเนียม เป็นต้น รวมทั้งยังมีสภาอุตสาหกรรมจังหวัด
5 ภูมิภาค และมีการบูรณาการร่วมกันอย่างครอบคลุมและรอบด้าน
ทั้งในเชิงอุตสาหกรรมและในเชิงพื้นที่ โดย ส.อ.ท. มีนโยบาย One FTI ที่จะมุ่งเน้นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
(Next-GEN Industries) ในโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ
หรือ SAI (Smart Agricultural Industry) หรือโครงการความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดที่ต้องการยกระดับพื้นที่สู่
Smart City จากการดำเนินโครงการดังกล่าว จึงจะต้องอาศัยความร่วมมือจากคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง
เพื่ออุตสาหกรรมไทยเติบโตทั้งระบบให้ยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น