ไบโอคอมเพล็กซ์แห่ งแรกของไทยตามแนวนโยบาย Bioeconomy “โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็ กซ์” ได้รับการสนับสนุนทางการเงิ นจากแบงก์กรุงไทยในวงเงิน 5,200 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงหีบอ้อย โรงงานผลิตเอทานอล และโรงผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ ชี้โครงการนี้ส่งผลดีต่อชาวไร่ อ้อยหลายพันครัวเรือน จ้างงานนับพันอัตรา ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระดั บพื้นที่และภาพรวมทั้งประเทศ เพราะสามารถนำไปต่อยอดในธุรกิ จเคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสู ง อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้ อม
วันที่ 27 มีนาคม 2562 ได้มีพิธีลงนามในข้อตกลงขอรั บการสนับสนุนทางการเงิน ระหว่างบริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเตรียล จำกัด (GKBI) กับธนาคารกรุงไทย ในวงเงิน 5,200 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในโครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์ในเฟสแรก
ทั้งนี้ บริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเตรียล จำกัด (GKBI) เป็นบริษัทร่วมทุนในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ระหว่าง บริษัท เคทิส ไบโอเอทานอล จำกัด (KTBE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ KTIS ถือหุ้น 100% กับบริษัท จีจีซี ไบโอเคมิคอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)
นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุ ตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เป็นการผนึกจุดแข็งของผู้ถือหุ้ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม KTIS ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสร้ างอ้อย และกลุ่ม GGC ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผลิตภั ณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม จึงมั่นใจได้ว่าโครงการนี้จะก่ อให้เกิดผลิตภัณฑ์ชีวภาพใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งนับได้ว่าโครงการนี้เป็ นไบโอคอมเพล็กซ์แห่ งแรกของประเทศไทยที่สอดรับกั บแนวนโยบายของรัฐที่ส่งเสริ มเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) อันเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิ จโดยรวมของประเทศ อีกทั้งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ สูงขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ชุมชนใกล้เคียงก็จะมีเศรษฐกิ จและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้ นด้วย
ทั้งนี้ อ้อยที่จะนำมาหีบเพื่อส่งน้ำอ้ อยเข้าสู่โรงงานเอทานอลแห่งใหม่ นี้ จะแยกจากอ้อยที่นำส่งเข้าสู่ โรงงานน้ำตาลในกลุ่ม KTIS โดยจะมีพื้นที่ปลูกอ้ อยของชาวไร่คู่สัญญาเพิ่มขึ้ นประมาณ 240,000 ไร่ คาดว่าจะผลิตอ้อยได้ 2.4 ล้านตันต่อปี
นายประพันธ์กล่าวว่า การลงทุนในโครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์เฟสแรก จะใช้เงินลงทุนรวมไม่เกิน 7,500 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงาน 3 โรง ได้แก่ โรงหีบอ้อย กำลังการผลิต 24,000 ตันต่อวัน โรงผลิตเอทานอล กำลังการผลิต 6 แสนลิตรต่อวัน และโรงผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 475 ตันต่อชั่วโมง โดยแหล่งเงินทุนของโครงการนี้ จะมาจากเงินทุนของผู้ถือหุ้นฝ่ ายละไม่เกิน 1,300 ล้านบาท รวมเป็น 2,600 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการกู้ยืมจากสถาบั นการเงินในประเทศ
“โครงการนี้จะมีผลดี หลายประการต่อเศรษฐกิจของชุ มชนและของประเทศชาติ ทั้งการเพิ่มรายได้ให้กับชาวไร่ อ้อยหลายพันครัวเรือน การจ้างงานในช่วงการก่อสร้างนั บพันอัตรา โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดื อนพฤษภาคม 2562 และดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าว และเสริมว่า สำหรับโครงการผลิตเอทานอลนี้ ในระยะแรกจะจำหน่ายเอทานอลให้กั บผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปิ โตรเลียม แต่ในระยะที่ 2 จะมีการลงทุนเพิ่มเติมในวงเงิน 10,000 - 30,000 ล้านบาท เพื่อนำเอทานอลที่ได้จากการลงทุ นในเฟสแรกไปพัฒนาเพิ่มมูลค่ าในธุรกิจเคมีชีวภาพและ/หรื อพลาสติกชีวภาพต่อไป
นายประพันธ์กล่าวด้วยว่า โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ มีประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยทางเศรษฐกิจนั้นจะมีการสร้ างงานสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และแรงงานในพื้นที่ที่จะเข้ ามาทำงานในโรงงาน ทำให้มีเงินหมุนเวียนในพื้นที่ มากขึ้น ด้านสังคม ทำให้แรงงานในชุมชนไม่ต้องย้ ายถิ่นฐาน ครอบครัวจะเข้มแข็งขึ้น และด้านสิ่งแวดล้อมนั้นจะเห็ นได้ชัดเจนมากตั้งแต่ กระบวนการผลิตของโรงงานหีบอ้ อยและโรงงานเอทานอลที่ใช้ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ทำให้ไม่เกิดของเสียออกสู่ ภายนอกไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียหรื อฝุ่นควันต่างๆ นอกจากนี้ ยังมี Carbon Credit ที่จะสร้างความมั่นใจในเรื่ องของการลดมลพิษ ทั้งในไร่อ้อยและในโรงงาน โดยจะแก้ปัญหาอ้อยไฟไหม้ด้ วยการใช้รถตัดอ้อย และรับซื้อใบอ้อยเพื่อเพิ่ มรายได้ให้กับชาวไร่ที่ตัดอ้ อยสดส่งเข้าโรงงานด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น