ที่ผ่านมากรุงเทพฯ มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อควบคุมปริมาณฝุ่น
PM2.5 ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด เช่น การตรวจสภาพรถยนต์ การติดตั้งเครื่องวัดปริมาณฝุ่นในโรงเรียนของกรุงเทพฯ มีมาตรการควบคุมฝุ่นที่เกิดจากสถานที่ก่อสร้างและปล่องโรงงาน แต่ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ ยังมีการตรวจพบฝุ่น PM2.5 ที่มีค่าเกินค่ามาตรฐานในหลายช่วงเวลา“เดือนมกราคมของทุกปีจะเป็นช่วงที่อากาศมีฝุ่น PM2.5 ปฐมภูมิอันเกิดจากการเผาเศษชีวมวลในที่โล่งในพื้นที่การเกษตรเคลื่อนที่จากทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้ามาปะทะกับสภาวะ ‘ลมนิ่ง’ ของกรุงเทพฯและปริมณฑล ทำให้ฝุ่นเหล่านี้เกิดการสะสมตัวในบรรยากาศ เมื่อรวมกับปริมาณฝุ่นที่เกิดจากกิจกรรมในพื้นที่เมืองหลวง ทั้งฝุ่น PM2.5 ชนิดปฐมภูมิที่เกิดการเผาไหม้เครื่องยนต์ดีเซล การก่อสร้าง และการเผาไหม้เชื้อเพลิงของหม้อต้มไอน้ำในอุตสาหกรรม กับฝุ่น PM2.5 ชนิดทุติยภูมิที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่แปรสภาพก๊าซเป็นฝุ่นของก๊าซมลพิษทางอากาศหลายชนิด เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) หรือ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) จึงทำให้กรุงเทพฯ เผชิญกับวิกฤติของฝุ่น PM2.5 ในช่วงหลังปีใหม่” รศ.ดร.สาวิตรี การีเวทย์ อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวถึงสาเหตุของวิกฤติฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้งของทุกๆปีและมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น
ภายใต้โครงการวิจัย “การจัดทำแนวทางจัดการฝุ่น PM2.5 โดยการวิจัยการเกิดอนุภาคทุติยภูมิ จากการใช้แบบจำลองการจัดการคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคกลาง” รศ.ดร.สาวิตรี ได้ศึกษาการกระจายตัวและแหล่งกำเนิดของฝุ่นแต่ละชนิดในเชิงพื้นที่และเวลา เพื่อสร้าง “ระบบบัญชีการระบายมลพิษทางอากาศความละเอียดสูง” ของประเทศไทยและจำเพาะกับพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เมื่อนำไปประมวลผลด้วยแบบจำลองคุณภาพอากาศ ได้พบข้อมูลที่สำคัญในเชิงการวางแผนและนโยบายการจัดการคุณภาพอากาศหลายประการ
“จากการคำนวณผ่านแบบจำลองคุณภาพอากาศ พบว่า ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นฝุ่นชนิดปฐมภูมิที่มาจากแหล่งกำเนิดโดยตรง 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์เป็นฝุ่น PM 2.5 ชนิดทุติยภูมิ และจากระบบบัญชีการระบายมลพิษทางอากาศฯ นอกจากจะได้ข้อมูลปริมาณฝุ่น PM2.5 แต่ละชนิดในแต่ละรอบเดือนแล้ว ยังสามารถวิเคราะห์แหล่งที่มาของฝุ่นปฐมภูมิได้ว่ามาจากฝุ่นที่เกิดในพื้นที่กรุงเทพฯ กี่เปอร์เซ็นต์ หรือถูกพัดมาจากแหล่งกำเนิดภายนอกที่มีการปล่อยในปริมาณเท่าใดอีกด้วย นอกจากนี้ ผลการศึกษายังสามารถช่วยให้แยกได้ว่าเป็นฝุ่น PM2.5 ทุติยภูมิที่เกิดจากสารมลพิษในกลุ่มใด โดยพบว่าหนึ่งในองค์ประกอบหลักในฝุ่น PM2.5 ทุติยภูมิ คือสารแอมโมเนียม (NH4+) ซึ่งแปรสภาพมาจากก๊าซแอมโมเนียที่เกิดจากการใช้ปุ๋ยยูเรียในภาคการเกษตรในปริมาณสูงโดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม”
รศ.ดร.สาวิตรี สรุปว่า ข้อมูลระดับปริมาณฝุ่นจากระบบแบบจำลองและบัญชีการระบายมลพิษทางอากาศฯนี้ ไม่เพียงจะชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์และแนวโน้มระดับความรุนแรงของฝุ่นเท่านั้น แต่ยังสามารถนำตัวเลขต่างๆ จากฐานข้อมูลมาวิเคราะห์ภายใต้สถานการณ์สมมติหรือนโยบายต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น นโยบายการควบคุมการปล่อยมลพิษทางอากาศและก๊าซเรือนกระจกจากโรงงานอุตสาหกรรม การลดละเลิกการเผาชีวมวลในที่โล่งในพื้นที่เพาะปลูก การจำกัดจำนวนรถยนต์ในการจราจรพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับกรุงเทพฯ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมการขนส่งทางบก กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในการกำหนดนโยบายหรือแนวทางในการควบคุมการระบายฝุ่น PM2.5 ที่แหล่งกำเนิด และในการประเมินผลสำเร็จของนโยบายหรือแนวทางดังกล่าว ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯ สามารถแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป
นอกจากงานวิจัยเพื่อลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ที่ต้นทาง ที่เป็นการทำงานร่วมของหลายหน่วยงาน ซึ่งต้องใช้งบประมาณและระยะเวลาดำเนินการที่สูงแล้ว การจัดการกับฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นและล่องลอยอยู่ในอากาศก็เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป โดยงานวิจัยหนึ่งที่สอดคล้องกับนโยบายปัจจุบันของกรุงเทพฯ คือ แนวทางการปลูกต้นไม้เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ของ รศ.ดร.ชัยรัตน์ ตรีทรัพย์สุนทร จากภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี และห้องปฏิบัติการ Remediation สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ มจธ.
รศ.ดร.ชัยรัตน์ กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาประสิ
ทธิภาพในการลดฝุ่นละอองของต้
นไม้ มากกว่า 100 สายพันธุ์ รวมทั้งศึกษากลไกทางชีววิ
ทยาของต้นไม้ที่มีศั
กยภาพในการช่วยลดฝุ่น นำมาพัฒนาเป็นฐานข้อมูลเพื่อเป็
นประโยชน์ในการเลือกปลูกต้นไม้
ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
“จากฐานข้อมูลงานวิจัยต้นไม้ทั้งไม้พุ่ม ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นกว่า 100 สายพันธุ์ ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการฝุ่น PM2.5 สามารถใช้สนับสนุนนโยบายการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นของกรุงเทพฯ ได้ โดยเลือกปลูกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น ต้นไม้ที่เรือนยอดไม่หนาทึบจนเกินไปเพื่อการระบายอากาศ ใบมีขนาดเล็กหรือเป็นใบประกอบที่มีขนใบหนาแน่นเพื่อดักจับฝุ่น เป็นไม้ไม่ผลัดใบหรือผลัดใบในระยะสั้น ได้แก่ กัลปพฤกษ์ โมก และพยุง เป็นต้น ซึ่งเมื่อรวมกับการออกแบบการปลูกตามลำดับชั้นความสูงของต้นไม้ ให้สอดคล้องกับลักษณะและความสูงของอาคารในพื้นที่กรุงเทพ จะทำให้ต้นไม้เหล่านี้สามารถทำหน้าที่กักเก็บฝุ่นจากมวลอากาศที่หมุนเวียนอยู่ภายในพื้นที่นั้นได้”
ผลงานวิจัยทั้งสองเรื่องนี้ คือส่วนหนึ่งของงานวิจัยภายใต้
การสนับสนุนของสำนักงานการวิจั
ยแห่งชาติ (วช.) ที่ได้มีการนำเสนอในเวที
“เตรียมพร้อมรับมือ PM2.5 ด้วยวิจัยและนวัตกรรม” ที่จัดขึ้นโดย วช. และสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดย นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพฯ กล่าวว่า นอกจากผลงานวิจัยเหล่านี้จะเป็นข้อมูลสำคัญให้กับผู้อำนวยการเขต ทั้ง 50 เขต นำไปปรับใช้กับการจัดการเรื่องฝุ่นมลพิษในพื้นที่ของตนเองได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังเป็นประโยชน์กับกรุงเทพฯ ในการจัดทำแผนงานการจัดการฝุ่นละอองขนาดเล็ก ให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ที่กำหนดให้ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงของฝุ่น PM2.5 จะต้องมีค่าไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (จากเดิม 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น