วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565 นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่
ในส่วนของค่าเงินบาทที่อ่อนค่ าต่อเนื่อง ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า ถึงแม้การอ่อนค่าของเงินบาทจะช่ วยส่งเสริมขีดความสามารถด้ านราคาในการส่งออกสินค้าไทย แต่อีกมุมหนึ่งก็ส่ งผลกระทบทำให้ต้นทุนพลังงาน สินค้าและวัตถุดิบที่ต้องนำเข้ าปรับตัวสูงขึ้นจนกระทบต่อต้นทุ นการผลิตสินค้า ซึ่งภาครัฐควรให้ความสำคั ญในการกำกับดูแลการเคลื่อนไหวค่ าเงินบาท และมาตรการป้องปรามหรือจำกั ดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงิ นบาทและภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม โดยค่าเงินบาทที่เหมาะสนกั บการดำเนินธุรกิจควรอยู่ที่ระดั บ 32 - 34 บาท ต่อ ดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังได้แนะให้ผู้ประกอบการทำธุ รกรรมทางการเงินเพื่อป้องกั นความเสี่ยงจากเงินบาทที่อ่อนค่ า เช่น การซื้อหรือขายเงินสกุลต่ างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) หรือการซื้อสิทธิ์ที่จะซื้อหรื อขายเงินสกุลต่างประเทศล่วงหน้า (Option Contract) เป็นต้น
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 209 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 19 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 209 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 19 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางหลั กในการรับมือต่อทิศทางอั ตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 33.0%
อันดับที่ 2 : เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน และปรับการบริหารกระแสเงิ นสดใหม่ 19.6%
อันดับที่ 3 : ปรับวิธีการบริหารกระแสเงินสด เช่น กู้ระยะยาว 18.7%
แทนการกู้เงินเบิกเกินบัญชี OD
อันดับที่ 4 : ชะลอการลงทุน 18.7%
อันดับที่ 5 : เปลี่ยนวิธีการลงทุน เช่น ระดมทุนจากผู้ถือหุ้นในบริษัท 7.2%
อันดับที่ 6 : อื่นๆ 2.8%
2. ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ ประกอบการจากภาวะอัตราดอกเบี้ ยขาขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็ นค่อยไป 52.6%
อันดับที่ 2 : มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) 52.2%
อันดับที่ 3 : สนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ และเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed rate loan) 45.5%
อันดับที่ 4 : มาตรการช่วยเหลือทางภาษีทั่วไป 45.5%
3. คาดว่าอัตราดอกเบี้ ยนโยบายของไทย ณ ปี 2566 จะอยู่ในระดับใด
อันดับที่ 1 : 0.75 - 1.00% 43.5%
อันดับที่ 2 : 1.00 - 1.25% 20.6%
อันดับที่ 3 : คงที่ 0.50% 12.4%
อันดับที่ 4 : 1.25 - 1.50% 7.7%
อันดับที่ 5 : 1.5 - 1.75% 7.2%
อันดับที่ 6 : 1.75 - 2.00% 5.3%
อันดับที่ 7 : มากกว่า 2.00% 3.3%
4. ค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรั บภาคอุตสาหกรรมควรอยู่ในระดับใด
อันดับที่ 1 : 32 - 34 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 44.0%
อันดับที่ 2 : 34 - 36 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 37.8%
อันดับที่ 3 : 30 - 32 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 11.0%
อันดับที่ 4 : 36 - 38 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 6.7%
อันดับที่ 5 : มากกว่า 38 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 0.5%
5. ภาคอุตสาหกรรมมี แนวทางในการลดผลกระทบจากการอ่ อนค่าของเงินบาทอย่างไร
อันดับที่ 1 : ทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่ าเงิน 58.4%
อันดับที่ 2 : เปลี่ยนมาใช้วัตถุดิ บภายในประเทศ 47.4%
อันดับที่ 3 : ขึ้นราคาขายในประเทศเพื่อส่งผ่ านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริ โภค 34.9%
อันดับที่ 4 : การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการซื้ อขายระหว่างกัน 19.6%
6. ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ ได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่ าของเงินบาทอย่างไร
อันดับที่ 1 : กำกับดูแลการเคลื่อนไหวค่าเงิ นบาท และมาตรการป้องปราม 63.2%
หรือจำกัดการเก็งกำไรค่าเงิ นบาท
อันดับที่ 2 : ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบและสินค้ าที่ผลิตภายในประเทศ 52.2%
อันดับที่ 3 : มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) 43.1%
อันดับที่ 4 : ปรับเพดานราคาสินค้าควบคุมให้ สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 32.5%
7. ปัจจัยที่ควรนำมาเป็นเหตุ ผลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ ยนโยบาย
อันดับที่ 1 : รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท 72.2%
อันดับที่ 2 : ชะลอการไหลออกของเงินทุน และดึงดูดผู้ลงทุนต่างประเทศ 52.2%
อันดับที่ 3 : รักษาเสถียรภาพอัตราเงินเฟ้อฝั งลึก (Entrenched Inflation expectation) 38.8%
เช่น การปรับขึ้นราคาสินค้าล่วงหน้ าเนื่องจากการคาดการณ์ว่าอั ตราเงินเฟ้อจะปรับขึ้น
อันดับที่ 4 : ลดพฤติ กรรมการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุ นที่มีความเสี่ยงสูง 29.7%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น