กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดปฐมบทใหม่เพื่อฟุตบอลไทยสู่ความยั่นยืน กับโครงการ “Grow Together!” ให้เยาวชนไทยทั่วประเทศ เติบโตเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพภายใต้มาตรฐานฟีฟ่า - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดปฐมบทใหม่เพื่อฟุตบอลไทยสู่ความยั่นยืน กับโครงการ “Grow Together!” ให้เยาวชนไทยทั่วประเทศ เติบโตเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพภายใต้มาตรฐานฟีฟ่า


 29 มิถุนายน 2565 กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) ร่วมกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (FA Thailand) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Grow Together! ปฐมบทใหม่เพื่อฟุตบอลไทยสู่ความยั่งยืน” (The Revolution of Thai Football’s Ecosystem) ภายใต้การควบคุมมาตรฐานของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ผ่านการวิจัยและประสานงานระหว่างฝ่ายพัฒนาเทคนิคของสมาคมฯ ณ ห้องไทย จิตรลดา แกรนด์บอลรูม โรงแรมแมริออท มาร์คีส์ ควีนปาร์ค กรุงเทพฯ นับเป็นความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นแห่งแรก กับการจัดวางโครงสร้างการพัฒนานักกีฬาฟุตบอลเยาวชนทั้งระบบ โดยการสร้างและจัดเก็บฐานข้อมูล รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาหลักสูตรการอบรมผู้ฝึกสอนอคาเดมีฟุตบอล ศักยภาพนักกีฬา และการจัดการแข่งขันลีกเยาวชน ตลอดจนการทบทวนและวิเคราะห์เพื่อนำผลที่ได้ไปปรับปรุงหลักสูตร ภายใต้มาตรฐานเดียวกันที่จะส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เปรียบเสมือนระบบนิเวศของวงการฟุตบอลไทยที่ได้รับความร่วมมือจากทั้งสามองค์กร


ภายในงานได้รับเกียรติจาก พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย และประธานอนุกรรมการคณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองด้านการพัฒนากีฬา ผู้แทน พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) เป็นประธานในการเปิดตัวโครงการฯ ร่วมด้วย นายพาทิศ ศุภะพงษ์  เลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ , ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และ มร.เคลลี  ครอสส์ (Kelly Crossผู้แทนจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ

พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ผู้แทนประธานกรรมการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของโครงการ “Grow Together! ปฐมบทใหม่เพื่อฟุตบอลไทยสู่ความยั่งยืน” เกิดจากแนวคิดของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งเล็งเห็นถึงปัญหาของเด็กไทยในวงการฟุตบอลที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงการสนับสนุน รวมถึงเด็กบาง ส่วนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลยังขาดโอกาสในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจนทำให้ต้องละทิ้งความฝัน ทั้งที่เด็กจำนวนมากมีศักยภาพ มีความสามารถที่จะต่อยอดและพัฒนาตัวเองไปจนถึงระดับทีมชาติหรือในระดับโลกได้ กองทุนฯ จึงเกิดแนวคิดในการสานต่อความฝันของเด็กไทยให้ประสบความสำเร็จและเกิดการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยด้วยมาตรฐานใหม่ที่ได้รับการรับรองจากองค์กรฟุตบอลระดับโลก

กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการสร้างโครงการฯ ที่ได้ร่วมกันคิดค้นและพัฒนาขึ้นโดย อาร์แซน แวงแกร์ (Arsène Wenger) หัวหน้าแผนกพัฒนาฟุตบอลของฟีฟ่า และอดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอล มาใช้พัฒนาวงการฟุตบอลไทย ซึ่งแวงแกร์เริ่มออกแบบโปรแกรมจากแนวคิดที่ว่า ฟุตบอลทุกชาติสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และทุกชาติสามารถผลิตเด็กขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลที่มีคุณภาพได้เหมือนเป็น Ecosystem ซึ่งการทำ Ecosystem ในการเล่นฟุตบอลให้ถูกต้อง จะช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลได้ โครงการ “Grow Together! จึงเป็นระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสร้างนักฟุตบอล และสามารถพัฒนาศักยภาพเด็กให้เติบโตขึ้นเป็นนักฟุตบอลที่มีประสิทธิภาพภายใต้มาตรฐานเดียวกัน จนทำให้ทีมชาติแต่ละชาติมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้


นายพาทิศ ศุภะพงษ์  
เลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวเสริมว่า การที่เด็กจากแต่ละสังกัดถูกส่งลงแข่งตามรายการต่างๆ ที่จัดขึ้นสำหรับเยาวชน เช่น การแข่งขันที่จัดโดยกรมพลศึกษา ฟุตบอลลีกระดับเยาวชน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เด็กที่มีศักยภาพได้รับโอกาสในการลงแข่งขัน แต่สมาคมฯ ไม่สามารถเข้าถึงเด็กเหล่านี้ได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากไม่มีการเก็บข้อมูลนักกีฬาเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการค้นหา จึงไม่มีข้อมูลในการติดตามตัว ทำให้พลาดโอกาสสำคัญในการสร้างนักกีฬาเก่งๆ ให้กับวงการฟุตบอลไทย ซึ่งเป็นจุดด้อยที่วิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากการที่ระบบ Ecosystem ของวงการฟุตบอลไทยยังไม่มีมาตรฐานที่เป็นแกนกลางในการสอน ทำให้ไม่มีระบบฐานข้อมูลกลางในการเก็บข้อมูลนักกีฬา ส่งผลให้พลาดโอกาสในการดึงตัวนักกีฬาที่มีศักยภาพไปโดยไม่รู้ตั

สมาคมฯ จึงเริ่มแก้ปัญหาด้วยการสร้างหลักสูตร (THE CURRICULUM) สำหรับประเทศไทยขึ้น โดยความร่วมมือของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการฟุตบอลไทย เช่นเดียวกับวงการฟุตบอลในประเทศที่พัฒนาแล้วที่จะมีเพียงหลักสูตรเดียวที่ใช้สอนเหมือนกันทั้งประเทศ เปรียบเสมือนปรัชญาของนักฟุตบอล และนำเสนอแผนงานเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินทุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ มาปั้นเป็นโครงการ “Grow Together! ปฐมบทใหม่เพื่อฟุตบอลไทยสู่ความยั่งยืน” ที่สมาคมฯ ร่วมกับฟีฟ่าสร้างขึ้นโดยอ้างอิงข้อมูลจากการวิจัยทางด้านประชากรศาสตร์ของแต่ละประเทศ จากสภาพแวดล้อม สังคม ลักษณะการเติบโต การอยู่อาศัย อาหาร แล้วนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์และออกแบบหลักสูตรเฉพาะของแต่ละชาติ ซึ่งประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้รับคัดเลือกว่ามีความพร้อมที่จะนำหลักสูตรนี้มาใช้ในวงการฟุตบอล

ด้าน มร.เคลลี  ครอสส์ ผู้แทนจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า (FIFA) กล่าวว่า ก่อนการนำแนวความคิดที่จะมาสร้างโครงการ “Grow Together! ในประเทศไทย ทางฟีฟ่าได้ลงพื้นที่วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของวงการฟุตบอลไทยรวมถึงประเทศอื่นๆ เป็นเวลาถึง ปี เพื่อเฟ้นหาประเทศที่มีความพร้อมที่สุด แล้วสรุปออกมาเป็นรายงานในการสร้างแนวทางหลักสูตรระดับชาติ (National Curriculum) ของแต่ละประเทศ จากการเข้ามาเก็บข้อมูลวิเคราะห์เส้นทางการเข้าสู่วงการฟุตบอลของเด็กไทย พบว่า เส้นทางการเริ่มต้นเข้าวงการฟุตบอลของเด็ก คน แบ่งออกเป็นโรงเรียน การเล่นในทีมโรงเรียนโรงเรียนกีฬาอคาเดมีแบบไพรเวท เรียนเสริมเสาร์-อาทิตย์อคาเดมีแบบคลับ ซึ่งจะมีแมวมองมักจะไปเจอเด็กที่สถานที่นี้ และดึงมาเป็นเด็กฝึกในสังกัดต่อไป

ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ กล่าวว่า ทางกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติได้จัดการประชุมหารือแสดงความคิดเห็นร่วมกันกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และฟีฟ่า เพื่อกำหนดเป้าหมายและข้อตกลงที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการสร้าง Ecosystem ที่เป็นปฐมบทใหม่เพื่อฟุตบอลไทยสู่ความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลไทย แก้ปัญหาการลื่นไหลในวงกว้างของวงการฟุตบอล เพื่อสร้างโอกาสให้กับเยาวชนไทยที่มีศักยภาพได้มีโอกาสเติบโตในเส้นทางจนได้เป็นนักกีฬาทีมชาติที่มีมาตรฐานอย่างมืออาชีพ และพัฒนาหลักสูตรทุกปี เพื่อทำให้เกิดมาตรฐานในวงการฟุตบอลไทยที่ดีที่สุดและเสถียรที่สุด พร้อมนำวงการฟุตบอลไทยให้ก้าวไกลสู่มาตรฐานระดับโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad