นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมงานแถลงข่าวการจัดงาน “มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม TRIUP FAIR 2023” เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์งานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมไทย ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์
ในช่วงที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การแพร่ระบาดของโควิด-19 กฎกติกาทางการค้าระหว่างประเทศในรูปแบบใหม่ โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย และเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าในระยะหลังเศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวและคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ว่าจะมีการเติบโตประมาณ 3.0% ถึง 3.5% อย่างไรก็ตามภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาระต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะค่าไฟฟ้า การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง (ล่าสุดปรับขึ้นอีก 0.25% เป็น 2%) และมีแนวโน้มว่าจะยังปรับขึ้นต่อไปด้วยเหตุเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ มีโอกาสสร้างความเสี่ยงของภาวะสุญญากาศการเมือง โดยเฉพาะการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ล่าช้ามากขึ้นไปอีก ส่งผลให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ยังไม่สามารถฟื้นตัวไม่เต็มที่
การยกระดับอุตสาหกรรมไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้เติบโตอย่างยั่งยืนนั้น การต่อยอดและการประยุกต์ใช้ผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ากับกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพและคุณภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลา และลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันและเท่าทันต่อความผันผวนและความต้องการของผู้บริโภคและรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ในการนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดงาน “มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม TRIUP FAIR 2023” เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์งานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมไทย ระหว่างวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2566 ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวถึงงาน TRIUP Fair 2023 ว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้
ประกอบการภาคเอกชนที่จะได้พบกั
บผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ใช้
ได้จริงกว่า 300 ผลงาน และได้พบปะพูดคุยกับหน่
วยงานในระบบนิเวศที่มีกลไกสนั
บสนุนภาคธุรกิจทั้งด้านการเงิน ด้านการลงทุน และด้านสิทธิประโยชน์อื่นๆ รวมทั้งการจับคู่เจรจาธุรกิจ (Business matching) กับนักวิจัยเจ้าของผลงานเพื่อต่
อยอดผลงานวิจัย นอกจากนี้ ยังได้พบกับบูธของผู้
ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยที่มี
ศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยี
และนวัตกรรมอีกกว่า 70 บูธ
“ผมขอขอบคุณ สกสว. ที่ให้เกียรติ ส.อ.ท. ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคอุตสหากรรม ร่วมเป็นพันธมิตรหลักในการจัดงาน TRIUP Fair 2023 ผมเชื่อมั่นว่าการจัดงานในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดการยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยจากการต่อยอดและการประยุกต์ใช้ผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยต่อไป” นายเกรียงไกร กล่าว
นอกจากความร่วมมือในการจัดงาน TRIUP Fair แล้ว ส.อ.ท. ยังเป็นภาคเอกชนรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจำนวน 1 พันล้านบาทจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ของ สกสว. ในการดำเนินโครงการ ‘กองทุนอินโนเวชั่นวัน’ ภายในกรอบระยะเวลา 3 ปี และ ส.อ.ท. ยังได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินโครงการให้เกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวเสริมว่า “ส.อ.ท. พร้อมเดินหน้าดำเนินโครงการ ‘กองทุนอินโนเวชั่นวัน’ เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และมีฝีมือด้านเทคโนโลยีให้เติบโตได้ภายในประเทศ และสามารถก้าวไปแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ โดยจะเชื่อมต่อธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมเข้ากับ SMEs ภาคอุตสาหกรรมในเครือข่ายสมาชิกของเราที่ต้องการนวัตกรรมเข้ามาสนับสนุนธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับนโยบาย ONE FTI ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในวาระปี 2565-2567 นี้ และเรามุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติงานที่มีเป้าหมายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม”
ด้าน ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานคณะกรรมการคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) กล่าวว่า “ความสำคัญของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2564 คือ ช่วยปลดล็อกความเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากงบประมาณสนับสนุนของภาครัฐจนเป็นผลสำเร็จ โดยรัฐที่มีหน้าที่ในการให้ทุนสนับสนุนวิจัย ผู้รับทุนหรือนักวิจัยมีสิทธิเป็นเจ้าของผลงาน กำหนดหลักเกณฑ์ในการโอนความเป็นเจ้าของผลงาน ส่วนผู้ที่ต้องการนำงานวิจัยไปใช้ ต้องเสนอเงื่อนไขการนำไปใช้และค่าตอบแทนให้แก่เจ้าของผลงาน เจ้าของผลงานต้องบริหารและสร้างประโยชน์จริงจากผลงาน และต้องรายงานให้ผู้ให้ทุนทราบ และภาครัฐอาจจะดึงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่จำเป็นมาใช้ประโยชน์ได้ในกรณีฉุกเฉิน จากความสำคัญดังกล่าว จึงได้มีการกำหนดการจัดงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม TRIUP FAIR 2023 ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกที่ส่งเสริมให้เกิดระบบการผลักดันผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ รวมทั้งช่วยขับเคลื่อน พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 ให้บรรลุเจตนารมณ์ ซึ่งในปีนี้มุ่งเน้นการผลักดันเชิงเศรษฐกิจ โดย ววน. จะเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมผ่านกลไกและการประชาสัมพันธ์ผ่านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและยกระดับการพัฒนาและการผลิต ให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตและประชากรมีรายได้สูงขึ้น”
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า “ที่ผ่านมา สกสว. ได้ดำเนินการส่งเสริมงานวิจัยในด้านต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาและใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น การแพทย์และสุขภาพ การเกษตรและอาหารมูลค่าสูง พลังงานชีวภาพ ระบบราง รถยนต์อีวี เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างการเติบโตของประเทศที่ยั่งยืน และเพื่อเป็นการขยายผลงานวิจัยไปสู่การใช้จริงในวงกว้าง และเกิดประโยชน์ต่อภาคส่วนต่างๆ สกสว. จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน จัดงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม TRIUP FAIR 2023 ขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางจากงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามแนวคิด JOURNEY TO IMPACT ซึ่งต่อยอดจาก พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 หรือ TRIUP ACT ที่ปลดล็อคงานวิจัยสู่การนำไปใช้จริง โดยในปีนี้ เราจะมีการเชิญชวนหน่วยงานต่างๆ ในระบบนิเวศซึ่งมีกลไกสนับสนุนแตกต่างกันมาร่วมกันตั้งเป้าหมายร่วมกันเพื่อยกระดับประเด็นเป้าหมาย ซึ่งได้แก่ การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและอาหารมูลค่าสูงและ Net Zero Emission เพื่อสร้างผลกระทบขนาดใหญ่ภายใน 5 ปี โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการนำงานวิจัยไปสู่ภาคเอกชนให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ ต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว”
ภายในงานได้จัดให้มีกิจกรรมเจรจาธุรกิจระหว่างนักวิจัยเจ้าของผลงานกับผู้ประกอบการและนักลงทุนจากภาคเอกชน และมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 50 หน่วยงานที่เป็นกลไกสำคัญในกระบวนการส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยขน์ พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนในทุกขั้นตอนภายในงานแบบครบจบที่เดียว
“สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ เชื่อว่าจะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการจับคู่ผลงานวิจัยเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจได้ไม่น้อย และคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จำนวนมาก รวมถึงการตระหนักถึงการนำผลงานวิจัยที่มีอยู่แล้วไปใช้ประโยชน์ให้สอดรับกับการธุรกิจ หรือสินค้า บริการ ของผู้ประกอบการได้” รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี กล่าวทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น