ส.อ.ท. ชี้ภาคอุตสาหกรรมเตรียมลดค่าใช้จ่าย, เพิ่มเงินทุน รับมืออัตราดอกเบี้ยขาขึ้น - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ส.อ.ท. ชี้ภาคอุตสาหกรรมเตรียมลดค่าใช้จ่าย, เพิ่มเงินทุน รับมืออัตราดอกเบี้ยขาขึ้น


 วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565 นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 19 ในเดือนกรกฎาคม 2565 ภายใต้หัวข้อ “ภาคอุตสาหกรรมจะรับมือกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร” พบว่า จากอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 7.6% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง รวมทั้ง ปัจจัยภายนอกจากทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ส่งสัญญาณเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยไปถึงระดับ 3.4% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้มีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า เพื่อรักษาส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศไม่ให้ห่างกันจนมากเกินไป จนไปกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนและค่าเงินบาท ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอว่า กรณี ธปท. มีความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควรพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น รวมทั้งควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากบางธุรกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan), การสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้, มาตรการช่วยเหลือทางภาษีทั่วไป เป็นต้น โดย ผู้บริหาร ส.อ.ท. คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ณ ปี 2566 จะอยู่ที่ระดับ 0.75 – 1.00% เพื่อที่จะรักษาทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย


ในส่วนของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า ถึงแม้การอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยส่งเสริมขีดความสามารถด้านราคาในการส่งออกสินค้าไทย แต่อีกมุมหนึ่งก็ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนพลังงาน สินค้าและวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าปรับตัวสูงขึ้นจนกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งภาครัฐควรให้ความสำคัญในการกำกับดูแลการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท และมาตรการป้องปรามหรือจำกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทและภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม โดยค่าเงินบาทที่เหมาะสนกับการดำเนินธุรกิจควรอยู่ที่ระดับ 32 - 34 บาท ต่อ ดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังได้แนะให้ผู้ประกอบการทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินบาทที่อ่อนค่า เช่น การซื้อหรือขายเงินสกุลต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) หรือการซื้อสิทธิ์ที่จะซื้อหรือขายเงินสกุลต่างประเทศล่วงหน้า (Option Contract) เป็นต้น


จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 209 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 
45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 19 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
1.  ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางหลักในการรับมือต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ   33.0%
อันดับที่ 2 : เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน และปรับการบริหารกระแสเงินสดใหม่   19.6%
อันดับที่ 3 : ปรับวิธีการบริหารกระแสเงินสด เช่น กู้ระยะยาว   18.7%
               แทนการกู้เงินเบิกเกินบัญชี OD
อันดับที่ 4 : ชะลอการลงทุน 18.7%
อันดับที่ 5 : เปลี่ยนวิธีการลงทุน เช่น ระดมทุนจากผู้ถือหุ้นในบริษัท    7.2%
อันดับที่ 6 : อื่นๆ    2.8%

2.  ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป   52.6%
อันดับที่ 2 : มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan)   52.2%
อันดับที่ 3 : สนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ และเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed rate loan)   45.5%
อันดับที่ 4 : มาตรการช่วยเหลือทางภาษีทั่วไป 45.5%

3.  คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ณ ปี 2566 จะอยู่ในระดับใด
อันดับที่ 1 : 0.75 - 1.00% 43.5%
อันดับที่ 2 : 1.00 - 1.25% 20.6%
อันดับที่ 3 : คงที่ 0.50% 12.4%
อันดับที่ 4 : 1.25 - 1.50%  7.7%
อันดับที่ 5 : 1.5 - 1.75%  7.2%
อันดับที่ 6 : 1.75 - 2.00%   5.3%
อันดับที่ 7 : มากกว่า 2.00%   3.3%

4.  ค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรับภาคอุตสาหกรรมควรอยู่ในระดับใด
อันดับที่ 1 : 32 - 34 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 44.0%
อันดับที่ 2 : 34 - 36 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 37.8%
อันดับที่ 3 : 30 - 32 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 11.0%
อันดับที่ 4 : 36 - 38 บาท / ดอลลาร์ สรอ.   6.7%
อันดับที่ 5 : มากกว่า 38 บาท / ดอลลาร์ สรอ.   0.5%

5.  ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางในการลดผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทอย่างไร
อันดับที่ 1 : ทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน     58.4%
อันดับที่ 2 : เปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบภายในประเทศ 47.4%
อันดับที่ 3 : ขึ้นราคาขายในประเทศเพื่อส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค     34.9%
อันดับที่ 4 : การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการซื้อขายระหว่างกัน     19.6%

6.  ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทอย่างไร
อันดับที่ 1 : กำกับดูแลการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท และมาตรการป้องปราม     63.2%          
               หรือจำกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท
อันดับที่ 2 : ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบและสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ 52.2%
อันดับที่ 3 : มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) 43.1%
อันดับที่ 4 : ปรับเพดานราคาสินค้าควบคุมให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 32.5%

7.  ปัจจัยที่ควรนำมาเป็นเหตุผลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  
อันดับที่ 1 : รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท 72.2%
อันดับที่ 2 : ชะลอการไหลออกของเงินทุน และดึงดูดผู้ลงทุนต่างประเทศ     52.2%
อันดับที่ 3 : รักษาเสถียรภาพอัตราเงินเฟ้อฝังลึก (Entrenched Inflation expectation)     38.8%
              เช่น การปรับขึ้นราคาสินค้าล่วงหน้าเนื่องจากการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับขึ้น
อันดับที่ 4 : ลดพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง 29.7%    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad