JR กางแผนครึ่งปีหลัง ลุยประมูลงานใหม่ 7 พันลบ. เน้นงานวางระบบไฟฟ้าตามแนวรถไฟฟ้า-วางระบบโทรคมนาคม หนุน backlog สิ้นปีทะลุ 1 หมื่นลบ. - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

JR กางแผนครึ่งปีหลัง ลุยประมูลงานใหม่ 7 พันลบ. เน้นงานวางระบบไฟฟ้าตามแนวรถไฟฟ้า-วางระบบโทรคมนาคม หนุน backlog สิ้นปีทะลุ 1 หมื่นลบ.




บมจ.เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ (JR) เปิดแผนครึ่งปีหลังเดินหน้ายื่นประมูลงานใหม่กว่า 7 พันล้านบาท ทั้งโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เฟส 2 มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท โครงการรื้อย้ายและสร้างใหม่ระบบโทรคมนาคมของรถไฟฟ้าสายอื่นๆ อีกราว 500-600 ล้านบาท ฟากซีอีโอ "จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ" ระบุมั่นใจคว้างานใหม่เพียบ ดัน backlog แตะ 1 หมื่นล้านบาทในสิ้นปีนี้ ทยอยรับรู้รายได้อีกยาว 3 ปี เผยหลังย้ายหุ้นเทรดในกลุ่มทรัพยากร หนุนสถาบันถือหุ้นเพิ่ม สะท้อนเชื่อมั่นธุรกิจเติบโตมั่นคง

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) (JR) เปิดเผยว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีงานโครงการใหม่เปิดประมูลกว่า 7 พันล้านบาท แบ่งเป็น โครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เฟสที่ 2 มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท โครงการรื้อย้ายและสร้างใหม่ระบบโทรคมนาคมของรถไฟฟ้าสายอื่นๆ อีกราว 500-600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นโครงการติดตั้งวางระบบอุปกรณ์สถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) ซึ่งบริษัทฯคาดหวังว่าจะได้รับการคัดเลือก เนื่องจากบริษัทฯมีความเชี่ยวชาญในการวางระบบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน backlog ในปีนี้จะทะลุ 1 หมื่นล้านบาท รองรับการเติบโตระยะยาวถึงปี 2568

“แนวโน้มผลงานในปีนี้ ยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีงานประมูลโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับรายได้ในอนาคต ขณะที่ปัจจุบันbacklogอยู่ที่ประมาณ 4,100 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ภาพรวมธุรกิจเติบโตอย่างโดดเด่น”นายจรัญกล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่า การที่หุ้น JR ได้ย้ายหุ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หมวดธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสาร มาซื้อขายในกลุ่มทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2565 พบว่ามีสภาพคล่องหุ้นมากขึ้น ขณะเดียวกันได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน และได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองมาอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี และสามารถสะท้อนให้เห็นว่า มีความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad