กนอ.- ส.อ.ท.จัดงานสัมมนาวิชาการ “ECO Innovation Forum 2022” ยกระดับพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ผ่านหลักการ “6S” ใช้ทรัพยากรคุ้มค่า ลดมลพิษ-ผลกระทบชุมชน - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2565

กนอ.- ส.อ.ท.จัดงานสัมมนาวิชาการ “ECO Innovation Forum 2022” ยกระดับพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ผ่านหลักการ “6S” ใช้ทรัพยากรคุ้มค่า ลดมลพิษ-ผลกระทบชุมชน

 


การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จับมือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนาวิชาการ “
ECO Innovation Forum 2022” ภายใต้แนวคิด “Eco Journey to Carbon Neutralityยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ผ่าน ด้านหลัก หรือ “6S” ที่มุ่งเป้าพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) และการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-industrial Town) สอดรับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ เน้นใช้ทรัพยากรคุ้มค่า ลดมลพิษ ลดผลกระทบจากการประกอบการอุตสาหกรรมที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ตอบโจทย์การมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)  

นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในระหว่างการเป็นประธาน และปาฐกถาพิเศษ “6S” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยฝ่าวิกฤตสู่ความยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบกิจการให้พัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG (Bio-Circular-Green) Economy Model ด้วยการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานและเทคโนโลยีอย่างง่ายเพื่อการผลิตไปสู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้วางกลไกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย โดยกำหนดเป็นนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย 6 ด้านหลัก หรือ “6S” ประกอบด้วย S1 Smart Agricultural Industryหมายถึง การส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Intelligent Agricultural Industry) โดยสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในภาคเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม  S2 S-Curve หมายถึง การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง (Potential Target Industries) ภายใต้มาตรการและ แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและแผนระดับชาติ S3 SMEs and Factory 4.0 หมายถึง การพัฒนาผู้ประกอบการและภาคการผลิตไปสู่ 4.0 โดยสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ ส่งเสริม SMEs และวิสาหกิจชุมชนให้มีผลิตภาพ ลดต้นทุน ลดของเสียในกระบวนการผลิต เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล  S4 Sustainable Developmentหมายถึง การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-industrial Town) ผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของชุมชน ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดมลพิษและบรรเทาผลกระทบจากการประกอบการอุตสาหกรรมต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน  S5 Special Zone and Industrial Area หมายถึง การพัฒนาอุตสาหกรรมในมิติพื้นที่ (Area-based Industrial Development) โดยพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่พัฒนาพิเศษ เขตเศรษฐกิจพิเศษตามนโยบายรัฐบาล พื้นที่อุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมพื้นฐานในพื้นที่พิเศษภายใต้แนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยึดโยงกับบริบทของพื้นที่  S6 Supportive and Digital Transformation หมายถึง การยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม (Enabling Factors) เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการที่สะดวกและรวดเร็ว บูรณาการและเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ตลอดจนเพิ่มทักษะและประสิทธิภาพบุคลากรด้านดิจิทัล   

รศ.ดร.วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-industrial Town) เป็นกลไกหนึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งเน้นใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดมลพิษ และบรรเทาผลกระทบจากการประกอบการอุตสาหกรรมที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน อีกทั้งยังขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับแนวทางการดำเนินงานในหลายประเทศทั่วโลก ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เนื่องจากสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักในหลายพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในปีนี้ นอกจากเป็นงานสัมมนาวิชาการแล้ว ยังเป็นการเผยแพร่ผลการดำเนินงานเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในระดับนิคมอุตสาหกรรมและโรงงาน เชิดชูเกียรติแก่นิคมอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรม และผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและพัฒนาอุตสาหกรรมสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอย่างยั่งยืน สนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย ด้วย BCG Model ของกระทรวงอุตสาหกรรม และการยกระดับเพื่อมุ่งสู่ Carbon Neutrality 

นายสมชาย หวังวัฒนาพาณิช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน  กล่าวต่อว่า ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาตนเองสู่ความยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่การเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) การใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-products) ที่สามารถส่งเสริมและสนับสนุนภาคส่วนอื่นๆ และการบริโภคอย่างยั่งยืนของประชาชน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต (Supply chain) โดย ส.อ.ท. มีวิสัยทัศน์ในการ “เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม” โดยได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมให้นำหลักการ BCG ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินกิจการขององค์กร และจัดตั้งสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการพัฒนา Thailand Carbon Credit Exchange Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักของประเทศสำหรับการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต รวมทั้งมีการจัดตั้ง RE100 Thailand Club เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน ทดแทนพลังเดิมที่ก่อมลภาวะให้กับโลก 

ภายในงานมีการจัดเสวนาวิชาการในหลายประเด็น อาทิ ผลสำเร็จการพัฒนานิคมฯ และโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) การเสวนาในหัวข้อ New Chapter ของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การเสวนาในหัวข้อ Trend อุตสาหกรรม/นวัตกรรมใหม่ “ก้าวสู่ Carbon Neutrality” และการบรรยายพิเศษเรื่อง “เท่าทันกฎหมายและสิทธิประโยชน์ใหม่” รวมทั้งมีพิธีมอบโล่เกียรติยศและประกาศนียบัตรเกียรติคุณให้กับนิคมอุตสาหกรรมที่ยกระดับเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco-World Class จำนวน 6 แห่ง ระดับ Eco-Excellence จำนวน 20 แห่ง ระดับ Eco-Champion จำนวน 38 แห่ง โรงงานอุตสาหกรรม 4.0 จำนวน 2 แห่ง โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) จำนวน 70 แห่ง โรงงานเครือข่ายลดก๊าซเรือนกระจกดีเด่น จำนวน  4 แห่ง และวอเตอร์ฟุตพริ้น (Water Footprint) จำนวน 10 แห่ง โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม นักวิชาการ ภาคประชาชน และสื่อมวลชน ไม่ต่ำกว่า 500 คน  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad